เมื่อเรากล้าที่จะฝัน เราก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยน...





ในที่ประชุมประจำเดือนของหน่วยงานข้าพเจ้า


ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องการที่จะปรับปรุงระบบการทำงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมที่เคยเป็นมา



โดยที่ผู้อำนวยการได้ตั้งคำถาม

“ อยากจะเห็นหน่วยงานของเรา ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในทางทีดีขึ้น ”




ผลที่ได้ก็คือ


คำตอบมาเยอะแยะมากมาย เช่น



“อยากให้หน่วยงานเราเจริญรุ่งเรือง”

“อยากให้มีประสิทธิภาพของการทำงานที่เพิ่มขึ้น”

“อยากให้หน่วยงานของเรา มีชื่อเสียงระดับประเทศ”

“อยาก เป็นที่หนึ่งของหน่วยงานด้านนี้”

ฯลฯ



ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความคิดที่ดี และน่าทำทั้งนั้น

เนื่องจากว่าเป็นการพัฒนาจากของเดิมที่มีอยู่ให้มันดีขึ้น


แต่สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตเห็นในที่ประชุมก็คือ จะมีคนอยู่ -1-2 คน ที่ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น แถมยังชอบวิจารณ์ความคิดเห็นคนอื่นในทางลบอีกต่างหาก และมักจะมีคำพูดอออกมาจากปากของคนในหน่วยงาน 1-2 คนนี้ว่า



“มันเป็นไปไม่ได้หรอก”



หรือ



“เราว่าความคิดคุณมันเกินจริงไปหน่อยนะ แค่ทำแบบแบบที่เป็นอยู่นี้ยังยากเลย”


หรือ


“ไม่ได้หรอก!! ผมว่าสิ่งที่ท่านผู้อำนวยการ เสนอมันผิดหลักการทำงานแบบเดิมๆ ของพวกเรานะครับ เพราะไม่มีใครเคยทำแบบนั้นมาก่อนเลย”


นี่คือคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราแอบจดมาจากการประชุมครั้งนี้




หลังจากนั้นก็มีการถกเถียงกันอยู่พักใหญ่



ท่านผู้อำนวยการ ก็เลยตั้งคำถามขึ้นในที่ประชุมว่า

คำถามต่อไปนี้ ขอให้ตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงของ ตัวเองนะครับ




คำถามแรกที่ผมจะถาม ก็คือ


“พวกเราอยากให้หน่วยงานของเรามีชื่อเสียง และเจริญก้าวหน้า ต่อไปใช่หรือไม่ ครับ ? “


คำตอบที่ได้มา 100% เต็มก็คือ “ใช่”



“แล้วพวกเราอยากจะทำงานแบบเดิมๆ ไปวันๆ โดยไม่ได้รับการพัฒนาเลยใช่หรือไม่?”

คำตอบที่ได้รับมา 100% ก็คือ “ไม่ใช่”



“ในเมื่อทุกคนอยากให้หน่วยงานก้าวหน้าเติบโต แต่ทำไมยังมีบางคนตั้งหน้าตั้งตาค้านในสิ่งที่เสนอ มาล่ะครับ”



เมื่อผู้อำนวยการ ได้โยนคำถามเข้ากลางที่ประชุม



คนที่ค้านตอนแรก เริ่มมีปฏิกิริยา ขึ้น


“ผมไม่ได้ค้านะครับท่าน แต่ลองพิจารณาดูถึงความเป็นจริงสิ ผมว่ายังไงเราก็ทำตามนั้นไม่ได้ เพราะไอ้แค่สิ่งที่เราทำอยู่ยังทำได้ไม่ดีเลย แล้วจะทำอะไรเพิ่มอีกละครับ” คนที่ค้านเริ่มให้เหตุผล


มีผู้ที่เข้าประชุมอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้หญิง เสนอว่า


“แต่สิ่งที่เสนอนั้นเป็นระบบงานใหม่ ที่จะทำให้สิ่งที่เราทำอยู่เดิมๆ นั้นได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น แถมพวกเราเองก็จะสบายมากขึ้นด้วยนะคะ”


ฝ่ายค้านพูด


“มันก็ จริง แต่ผมว่าเราจะเหนื่อยขึ้น แถมยังไม่รับประกันด้วยว่า สิ่งที่ทำใหม่นั้นจะสำเร็จได้เมื่อไร”

“ทำไมเราไม่รอให้พร้อมก่อนล่ะครับ”


เราสังเกตเห็นว่า ท่านผู้อำนวยการที่นั่งฟังคำอภิปรายอยู่ ณ ที่นั้น ได้ถือโอกาสแทรกตัวเข้าไปในวงของการถกเถียงอีกครั้งหนึ่งว่า




“ถ้า พวกเราอยากให้หน่วยงานดีขึ้น อยากให้หน่วยงานพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น แต่พวกเรากลับไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แล้วหน่วยงานเราจะดีขึ้นตามที่เราคิดไว้จริงหรือ และการที่เราทำงาน หรือทำทุกอย่างเหมือนเดิมทุกวันๆ ๆ วันแล้ววันเล่า แต่กลับคาดหวังในสิ่งที่ดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ผมว่าผลที่พวกเราต้องการยังไงก็่เกิดขึ้นไม่ได้เลย”



จากนั้นท่านผู้อำนวยการ ได้พูดต่อ



“สิ่งที่เราต้องทำก็คือ เมื่อเรามีความคิดอยากพัฒนา อยากให้หน่วยงานก้าวหน้า สิ่งที่พวกเราจะต้องร่วมกันทำก็คือ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งบางคนในที่ประชุมนี้อาจจะต้องเริ่มศึกษาระบบงานใหม่ บางคนอาจจะต้องยอมที่จะตื่นเช้าหน่อย บางคนอาจจะต้องกลับบ้านดึกอีกสักนิดหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำไปนั้นก็แค่ระยะเริ่มต้นเท่านั้น พอระบบเสร็จแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ทุกคนจะทำงานได้อยากสบายขึ้น โดยให้ผลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม”



ที่ข้าพเจ้าเล่ามาทั้งหมดนี้

เป็นเพราะต้องการให้เห็นประเด็นเดียวก็คือ


การที่เราอยากจะก้าวหน้าอยากเก่ง อยากพัฒนา อยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากรวย อยากมีเงินเดือนเยอะๆ ฯลฯ ความต้องการหรือความอยากทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงเป้าหมาย และ การไม่ต้องการอยู่นิ่งกับที่


และหลังจากที่เราอยากเป็น อยากทำ แล้ว


สิ่งที่ตามมาก็คือ ถ้าเรายังคงการกระทำทุกอย่างเหมือนเดิม ใช้ชีิวิตแบบเดิมๆ เช่น ตื่นสายเหมือนเดิม ไม่อ่านหนังสือเหมือนเดิม ขี้เกียจเหมือนเดิมยังนั่งหน้าทีวีเหมือนเดิม ฯลฯ

แล้วเรากลับคาดหวังในสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว






สรุปก็คือ


ถ้าอยากให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า หรือมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น



สิ่งที่เราต้องทำให้ได้ก็คือ



1 การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเราเอง

2 เราต้องเลือกทางเดินใหม่ที่ไปสู่เป้าหมายของเรา เช่น เลือกที่จะไม่ดูทีวี เพื่ออ่านหนังสือมากขึ้น เลือกที่จะตื่นเช้า เพื่อที่จะได้ออกกำลังกาย เลือกที่จะพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะได้ผลงานที่ดีขึ้น เป็นต้น





ชีวิตเราเอง เราเลือกได้นะคะ



อย่าให้ความสบายมาเป็นอุปสรรคในเป้าหมายของเรา

ความก้าวหน้าของตัวเราเอง ของหน่วยงาน ของเป้าหมายทุกอย่างคือการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาตัวเอง พัฒนาผลงาน พัฒนาร่างกาย พัฒนาจิตใจ ของตัวเอง ในทางที่ดีขึ้น แล้วเราจะภาคภูมิใจในตัวเองที่เห็นความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง ของหน่วยงาน ของคนข้างเคียง ของสิ่งแวดล้อมรอบตัว ของสมาชิกในครอบครัวค่ะ









………………………………………..