มนุษย์ผู้ควบคุมโลก ตอนที่ 2
บทความจาก ตอนที่ 1 สรุปความได้ว่า
บัดนี้ โลกไม่ปราณีเราอีกแล้ว และ เราคือผู้ควบคุมโลกไว้
ดังประกฎการณ์ ภูเขาไฟโคลนถล่ม สาเหตุมาจากการขุดเจาะสำรวจแหล่งก๊าซ
แล้วเลิกไป ทำให้เกิดช่องโหวของหิน ทำให้น้ำร้อนทะลักเข้าไปแทนที่ และเกิดแรงดันมหาศาลเกิดขึ้น จะกลายเป็นภูเขาไฟโคลนใต้นำ ที่ถล่ม ทำให้ 4 หมู่บ้านถูกโคลนถับถม ประชาชนหลายหมื่นคนไร้ที่อยู่ บ้านเรือนเสียหายนับหมื่น
ถ้าย้อนกับไปเมื่อ หนึ่งหมื่นปี โลกยังอยู่ในยุคน้ำแข็ง ที่เปลี่ยนสภาพไปมา ระหว่างวัฏจักรของยุคน้ำแข็ง กับ วัฏจักรในยุคโลกธรรมดา
วัฏจักรในยุคน้ำแข็งสังเกตจาก แคนาเดียนร็อกกี้ ที่มีร่องรอยของน้ำแข็งสมัยโบราณที่ปกคลุมอยู่
แม้ในปัจจุบัน โลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งใหม่ แต่มีสาเหตุที่ไม่เป็นเช่นนั้นไม่สามารถเข้าสู่ยุคน้ำแข็งใหม่ได้ เพราะ การเกษตรกรรม และการเลี้ยงสัตว์ ที่สร้างคาร์บอนได้ออกไซด์ และ มีเทนขึ้นมา อย่างยาวนาน เมื่อ 7,000 กว่าปีมาแล้ว จึงหยุดยั้งการเกิดยุคน้ำแข็งใหม่ ได้
....................................
ตอนต่อไปเป็น ตอน มนุษย์กุมชะตาโลก ตอนที่ 2
นับจาก 7000 ปี แต่นั้นมาก เราได้สร้างผลลัพธ์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก
นี่คือการเริ่มต้นของบทบาทของเราในการส่งผลต่อโลก
นับแต่นั้นมาความก้าวหน้าของมนุษย์ถูกนิยามโดยความสามารถ
ในการหาวิธีใช้ประโยชน์จากธรรมชาติของโลกที่สร้างสรรค์มากกว่าเขาเรา
เมื่อ 5,000 ปี บรรพบุรุษของเราได้พบว่าของเราพบว่า สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในหินบางชนิดคือสินธุ์แร่เหล็ก หินที่มีเกลือแร่เข้มข้นเหล่านี้ ก่อตัวอยู่ใต้โลกลึกมาหลายล้านปี เหล็กที่ที่หินปล่อยออกมา ถูกแปลงโฉมให้เป็นเครื่องมือ กลายเป็นพื้นฐานของอารยะธรรม
เมื่อ 2000 ปี ก่อน ผู้คนค้นพบวิธีอันชาญฉลาดที่จะสกัดกั้นวัฏจักรของน้ำ พวกเขาดักจับน้ำจืดใต้ทะเลทรายและใช้มัน เพื่อสร้างเมืองแห่งแรกๆ
เมื่อ 500 ปีที่แล้ว นักแล่นเรือรู้จักใช้ประโยชน์จากพลังของระบบลมของโลก พวกเขาใช้มันเพื่อพัฒนาเส้นทางการค้าบนมหาสมุทร
และเมื่อไม่นานมานี้
เราพบว่า ฟอสซิลของซากพืชและสัตว์ ถ่านหิน และน้ำมัน คือแหล่งสำคัญของพลังงาน
การค้นพบแต่ละครั้งคือความสามารถที่เด่นชัดของเราในการใช้ระบบของโลกเพื่อวัตถุประสงค์ของเราเอง
วันนี้วิธีการใช้ทรัพยากรของโลก สรุปได้จากสิ่งนี้ นั่นคือ เครืองบิน
วิศวกรทางยานเอาวกาศ Dave Roe ให้ความคิดเห็นว่า เครื่องบิน คือหนึ่งในความสำเร็จทางอารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“เมื่อ ร้อยกว่าปีที่แล้วนี่เอง เราเปลี่ยนสถานะจากบินไม่ได้เลย มาบินได้ด้วย มาร์คทู”
ลองคิดถึงเครื่องบินในแง่ธรณีวิทยา
“โครงสร้างหลังของเครื่องบินเหล่านี้ ทำเป็นลุมิเนียมเสียส่วนใหญ่ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว มาจากสินแร่ออกไซด์ นี่เอง”
มันเป็นแร่เหล็กที่เหลือเฟือในแผ่นเปลือกโลก ที่รวมตัวอยู่ในหินมาหลายล้านปี
“กระจกในเครื่องบิน ก็ไม่ใช่กระจกจริง แต่เป็นพลาสติก”
พลาสติก มีส่วนประกอบพื้นฐานคือน้ำมัน มันทำมาจากซากสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในโลกหลายแสนปี
และสายไฟ ก็ทำจากทองแดง ที่ทำจากเกลือแร่ ชื่อ มรกต
เครื่องบิน คือการรวมกลุ่มครั้งยิ่งใหญ่ของทรัพยากรธรรมชาติที่ล้วนถูก สกัด เปลี่ยนรูป พิมพ์ หล่อ และเชื่อมต่ออย่างถูกต้องโดยพวกเราเอง
และภาพฝูงบินที่ปรากฏให้เห็นคือความยิ่งใหญ่ที่เราทำ
ฐานทัพอากาศบนทะเลทราบในอริโซน่า คือบ้านของเครื่องบินกว่า 4,000 ลำ หลายลำไม่เคยบินขึ้นเลย นี่คือการสะสมขนาดใหญ่ของเกลือแร่ของโลกที่มีประสิทธิภาพ
ผลกระทบของเราที่มีต่อโลกไม่ได้มาจากสิ่งที่เราเปลี่ยนรูปอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่าสิ่งที่เราเปลี่ยนนั้นทิ้งอะไรไว้ด้วย
แม่น้ำ พัดพาและสะสมตะกอนพร้อมกับสะสารธรรมชาติ เช่นเกสร เมล็ดพืช เปลือกหอย และเศษซากพืช มันคือส่วนผสมที่สร้างหินแห่งอนาคต
นักวิทยาศาสตร์ เชอรี่ มัวส์ ได้ศึกษาบางอย่างที่แตกต่าง
“พลาสติกไหลออกมาผ่านท่อระบายน้ำ แม่น้ำ และกระแสน้ำ ลอยอยู่เยอะมาก แต่บางส่วนก็จม บางส่วนก็ตกไปถึงชั้นตะกอน ”
เชอรี่ได้พบพลาสติกชั้นเล็ก ฝังอยู่ในชั้นตะกอนตามธรรมชาติเพิ่มขึ้น
“เรากำลังตรวจดูตะกอนเพื่อดูว่าเราพบพลาสติกชิ้นเล็กๆแบบไหน คนส่วนใหญ่จะพบพลาสติกชั้นที่ใหญ่กว่าทำลายทัศนียภาพของชายหาดและทางน้ำของพวกเรา แต่เราก็คิดว่าพลาสติกชิ้นเล็กก็กำลังเพิ่มปัญหาด้วยเหมือนกัน”
แม่น้ำแห่งนี้อยู่ในใจกลาง ลอสแอลเจลิส บ้านของผู้คนกว่า 4,000,000 คน และทุกคนต่างก็ใช้พลาสติก
แต่ผลกระทบของพลาสติกกินวงกว่าแค่ในเมืองหลักๆ ทั่วโลกพลาสติกจำนวนมหาศาลกว่า 26,000,000 ตัน ถูกทิ้งลงในมหาสมุทรทุกปี ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ที่ใหญ่กว่ามาก
ในมหาสมุทรแปซิฟิค พลาสติกจากอเมริกาถูกกว่าดทิ้งลงในกระแสน้ำในมหาสมุทรที่หมุนรอบเป็นวงใหญ่ ขณะที่น้ำไหลวนยังเก็บพลาสติกจากเอเชียตะวันออกมาด้วย
ที่ผ่านมาพลาสติกเหล่านี้สะสมเป็นกองเรือรบขนาดใหญ่ หนึ่งในนั้นมีขนาดที่ใหญ่มาก จนมีชื่อของตัวเองว่า “แพขยะแห่งแปซิฟิคตะวันออก” และท้ายที่สุดพลาสติกได้ถูกรังสีอลตร้าไวโอเล็ต จากดวงอาทิตย์จนแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ ถูกฝังจมอยู่ที่ใต้ทะเลและถูกฝังอยู่ที่นั่น
มันคือขึ้นตอนแรกของการเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นหินตะกอน
แกรนแคนยอน คือสุดยอดตัวอย่างที่เผยความมหิมาของกระบวนการเปลี่ยนรูปนี้ ครั้งหนึ่ง หน้าผาเหล่านี้เป็นทะเลโบราณมันก่อตัวสะสมมาหลายล้านปี สร้างเป็นตะกอนชั้นแล้วชั้นเล่า ภายใต้ความกดดันมหาศาล ชั้นเหล่านี้ยึดติดเข้าด้วยกันเป็นชั้นหิน อย่างที่เห็นกันในปัจจุบันนี้
ในที่สุดพลาสติกก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของหินในอนาคต
จากทั่วทั้งโลกสิ่งที่อยู่คงทนของเรา หนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะระบุเวลาของมนุษยชาติบนโลกได้ก็คือซากพลาสติกหลายล้านต้น มันคือมรดกทางธรณีวิทยาของเรา
ความสามารถของเราในการนำทรัพยากรของโลกมาแปรรูปและเก็บสะสมเป็นปริมาณมากๆหมายความว่าเราได้ทำสัญลักษณ์ที่คงทน ในประวัติศาสตร์ของโลกที่นานนับ 4,500,000 ล้านปี
เราสามารถตัดส่วนยอดของภูเขาและขุดหลุมใหญ่พอที่จะฝังเมืองไว้ได้ เพียงแค่ปีเดียวเราได้ย้ายพื้นดินและหินไปมากกว่าทุกกระบวนการธรรมชาติรวมกันเสียอีก
เครื่องจักรของเราได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้ว
…
ผลกระทบของเราที่มีต่อโลกใหญ่หลวง จนต้องมานิยามเป็นยุคใหม่ทางธรณีวิทยา
เรียกว่า “แอนโทรพาเซีย” หรือยุคของมนุษย์
ถ้านำพื้นที่ทั้งหมดในโลกมารวมกัน 75% ของโลกที่ไร้น้ำแข็ง จะมีมนุษย์ปรากฏตัวอยู่
และนี่คือโลกมนุษย์ของจริง
บางครั้งการที่เราแทรกแซงกระบวนการธรรมชาติของโลก อาจทำให้ผลกระทบตามมาที่น่าแปลกใจและคาดไม่ถึง
ที่ “คาป้า CAPA” ในรัฐ เซาน์ดาโคต้า ซึ่งก่อตั้งขึ้นมา ในปี 1907 และมีประชากรเพียงคนเดียว
ในตอนต้นปี 1900 ที่นี่ เคยเป็นเมืองที่เจริญ เกษตรหลั่งไหลกันเข้ามาที่ทุ่งหญ้าผืนใหญ่ของอเมริกาตะวันตก เพื่อพัฒนาพื้นที่ใหม่บนดินที่อุดมสมบูรณ์
ผืนดินแห่งนี้ใช้เวลามากกว่า 500 ปี ในการสร้างหน้าดินชั้นดีเพียง 2 เซนติเมตร แต่ถูกแทนที่ด้วยการเพาะปลูก ต้นหญ้าผูกติดกันแน่น ในคาป้า ผู้อาศัยคนแรกๆได้ไถพรวนหญ้าเปิดหน้าดินออกมาซึ่งโดนแสงอาทิตย์จนแห้ง
ประชากรคนสุดท้าย ได้กล่าวว่า
“ปัญหาก็คือ พวกเขาทำการเพาะปลูกผิดวิธี พวกเขาทิ้งดินบนสนามโดยไม่มีอะไรมาปกป้อง”
.............................
Bookmarks