ตายแล้วจะเป็นอะไร ?
ความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่ง ของผู้คนทั้งหลาย เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่อยากตาย และที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเมื่อตายแล้วจะไปไหนจะเกิดเป็นอะไรจะถูกยมบาลจับไปลงกระทะทองแดงหรือเปล่า หรือว่าตายไปแล้ว จะต้องเป็นผีเร่ร่อนไปไม่จบสิ้น เรื่องที่มองไม่เห็นจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับผู้คน แต่ตายแล้วจะไปเป็นอะไรนั้น ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ฝึกกรรมฐานจนสามารถมีญาณ ได้พิทพ์จักษุ หรือได้อนาตังสญาณ สามารถรู้อดีตชาติ รู้ปัจจุบัน และล่วงรู้ไปถึงอนาคตของสัตว์โลก ตลอดจนมนุษย์ทั้งหลาย ได้กล่าวสอนว่า ความสำคัญอยู่ที่ว่า ขณะที่บุคคลนั้นจะตายหรือใกล้จะตายนั้น ตอนนั้นเขาได้มีจิตนึกคิดสิ่งไรอยู่ มีสติจดจ่ออยู่กับเรื่องอะไร มีจิตกังวลหรือมุ่งมั่นกับอะไร เมื่อวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างที่หมดแล้ว วิญญาณของคนนั้นก็จะมุ่งตรงไปหาสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้ก่อนตาย เรียกว่า ไปตามจิตใจที่ได้คิดไว้ก่อนตาย ดังยกตัวอย่างเรื่องจริงในอดีตที่ท่านพระอาจารย์ได้เล่าเขียนเป็นหนังสือไว้ว่า
มีสามีภรรยาที่ยกจนคู่หนึ่ง ได้ย้ายถิ่นฐาน เพื่อไปทำมาหากินเมืองอื่น เดินทางไปหลายวัน เสบียงอาหารได้หมดลง อดข้าวไม่ได้กินอยู่ ๒ วัน บังเอิญได้ไปพบกับบ้านเศรษฐีใจบุญเข้า จึงได้สั่งให้คนรับใช้นำข้าวปลาไปให้ทาน ทั้งคู่จึงทานด้วยความหิวโหย ฝ่ายสมาขณะที่ทานไป ได้เห็นสุนัขของบ้านเศรษฐี ก็กลังทานอาหารเช่นกัน เป็นสุนัขของบ้านเศรษฐีนี้ดีนะ มีข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูอย่างสมบูรณ์ แถมยังมีชามข้าวเป็นทองคำด้วยระหว่างทานข้าวไปก็มองคิดไป บังเอิญความหิว จึงทานอย่างรีบร้อน จึงสำลักข้าวตายเมื่อตายไปแล้วเกิดมาเป็นลูกสุนัขเศรษฐีนี้อย่างทันการณ์ทันที
เมื่อเป็นสุนัขแล้ว ก็เป็นสุนัขที่แสนรู้ คนเขาพูดอะไรก็รู้เรื่องหมด ใช้งานได้จนเศรษฐีมีความรักเมตตาต่อสุนัขตัวนี้มาก และตัวเศรษฐีเองก็เป็นคนถือศีลขอบฟังธรรมได้นิมนต์พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาสอนธรรมะอยู่เสมอและเวลาที่พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามา ก็จะเรียกเจ้าสุนัขที่เคยเกิดเป็นคนยากจนให้ไปเชิญพระปัจเจกพระพุทธเจ้ามา และเวลากลับเจ้าสุนัขแสนรู้จะไปส่งพระปัจเจกพระพุทธิเจ้ากลับเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งพระปัจเจกพระพุทธเจ้าบอกสุนัขว่า เอาล่ะส่งแค่นี้ล่ะ เพราะข้าฯ จะไปธุระที่อื่น จะเหาะไปเพราะอยู่ไกลมาก ว่าแล้วพระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็แสดงฤทธิเหาะเหินเดินอากาศลอยไปเลย เจ้าสุนัขจึงเห่าด้วยความยินดีแล้วคิดว่าเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้านี่ดี ไม่ต้องเดิน ใช้เหาะเอาก็ได้ เรานี้น่าจะเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้านะ คิดและตั้งใจเช่นนั้นเดินไปถึงบ้านเศรษฐีบังเอิญเกิดตายขึ้นมา พอตายปั๊บก็ไปเกิดเป็นเทวดา นี่เป็นตัวอย่างที่ง่าย ๆ ในการเปลี่ยนแปลงภพชาติของมนุษย์และสัตว์สำคัญที่ว่าในขณะที่กำลังจะตายนั้นบุคคลจะมีสติอยู่หรือไม่ ยึดติดกับสิ่งไร ตายไปแล้วก็เฝ้าหวงอยู่กับสิ่งนั้น ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งบวชเป็นพระได้ไม่นาน ยังฝึกกรรมฐานไม่มาก ถึงแม้จะอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าก็ตาม อยู่มาวันหนึ่ง มีเศรษฐีมาถวายผ้าไตรจีวร และพระภิกษุรูปนี้ก็ได้รับด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันจะจับต้องลูบคลำเอามาดูอยู่เสมอ แต่ได้ชื่นชมอยู่ไม่นาน ก็ถึงคราวต้องตาย พอตายแล้ววันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าฯ ได้บอกต่อพระอานนท์ว่า “ผ้าจีวรผืนนี้ อย่าเพิ่งเอาไปใช้ ให้รอครบ ๗ วันก่อน จึงค่อยนำไปซักล้าง” ฝ่ายพระที่หลงใหลในผ้าจีวรผืนใหม่นี้ เมื่อตายไปเกิดเป็นตัวเล็น ซึ่งเป็นแมลงเล็กชนิดหนึ่งแล้วอาศัยอยู่กับผ้าผืนนั้น ตลอดจนอายุขัยคือ ๗ วัน จึงตายจากผ้าผืนนั้นไป
การที่พระรูปนี้เมื่อมรณภาพเป็นแล้ว ไปเกิดเป็นแมลงเล็ก ๆ ทันทีแล้วเกิดอยู่เฝ้าอยู่กับผ้าที่ตัวเองเฝ้าหวงรักมันเป็นเพราะว่าขณะที่ตายไปนั้นได้มีจิตใจจดจ่อกับผ้านั้นตลอดจนแม้กระทั่งดับจิตอยู่ก็ได้คิดมันอยู่เช่นนี้ เมื่อเกิดใหม่จึงเป็นแมลง มาเฝ้ารักสมบัติที่ตัวเอง ทั้งห่วงทั้งหวงนั่นเองพระพุทธเจ้าก็มีญาณรู้อยู่ว่า
พระรูปนี้เมื่อมรณภาพไปแล้วจะต้องต้องเกิดมาเป็นแมลงอยู่ในผ้าจีวร จึงทรงห้ามพระอานนท์ไม่ให้นำไปซักล้าง ปล่อยให้แมลงตัวนี้ตายไปก่อน จึงค่อยนำมาใช้
ฉะนั้นคนเรา เมื่อจะตาย ควรปล่อยวางทุกอย่างอย่ายึดทุกสิ่ง มิฉะนั้นต้องกลับมาอีก และอาจจะเกิดเป็นแมลง เป็นจิ้งจก เป็นสุนัขมาเฝ้าสมบัติของตัวเองก็ได้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จึงเฝ้าอบรมให้ฝึกสมาธิให้หัดนั่งกรรมฐานอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้มีสติ รู้อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงคราวที่จะตาย ก็สามารถกำหนดจิตเข้าญาณได้ จะให้ตายแล้วไปเป็นเทวดา เป็นเทพอยู่สวรรค์ชั้นไหนก็สามารถทำได้
ขอบคุณบอร์ดบ้านมหาและพระวิชัย เขมโย(ธรรมสอนใจ)
Bookmarks