สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 5 พระมหากษัตริย์อาณาจักรอยุธยาพระองค์ที่ 24 (ครองราชย์ พ.ศ. 2173 - พ.ศ. 2199) และทรงเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ปราสาททอง ราชวงศ์ลำดับที่ 4 ของอาณาจักรอยุธยา


พระราชประวัติ
พื้นเพเดิม
แนวความคิดที่หนึ่ง
เป็นตำนานเล่ากันมาว่า เมื่อสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถยังเป็นพระมหาอุปราชอยู่ วันหนึ่งเสด็จประพาสลำน้ำมาถึงเกาะบางปะอิน เรือพระที่นั่งถูกพายุพัดจนล่มจึงต้องเสด็จไปอาศัยบนเกาะบางปะอิน จึงได้นางอิน หญิงบนเกาะมาเป็นบาทบริจาริกาจนนางคลอดบุตรเป็นชาย สมเด็จพระเอกาทศรถจะรับเป็นพระโอรสก็ละอายพระทัยจึงทรงรับไปเลี้ยงแต่เด็กจนกระทั่งเติบใหญ่


แนวความคิดที่สอง
มาจากจดหมายเหตุวัน วลิต ซึ่งเป็นเอกสารที่เขียนในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กล่าวว่าพระเจ้าปราสาททองนั้นเป็นบุตรออกญาศรีธรรมาธิราช ซึ่งเป็นพี่ชายคนใหญ่ของพระชนนีสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม คนทั้งหลายเรียกท่านกันว่า พระองค์ไล ประสูติในปีชวด รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ตรงกับ พ.ศ. 2143


การรับราชการ
วัน วลิตกล่าวไว้ว่า พระองค์ไลได้เริ่มต้นรับราชการโดยเริ่มจากการเป็นมหาดเล็ก แล้วจึงได้เลื่อนเป็นหุ้มแพร และได้เลื่อนเป็นจมื่นศรีสรรักษ์ เมื่อจมื่นศรีสรรักษ์มีอายุได้ 18 ปี ได้ไปก่อเหตุทำร้ายพระยาแรกนาแล้วหนีไปหลบอยู่ในวัด พระเจ้าอยู่หัวจึงให้จับตัวออกญาศรีธรรมาธิราชผู้เป็นบิดาไปขัง จมื่นศรีสรรักษ์จึงเข้ามามอบตัว มีรับสั่งให้จับไปขังคุก 5 เดือน แต่ เจ้าขรัวมณีจันทร์ พระชายาม่ายในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมาทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทน จมื่นศรีสรรักษ์จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมารับราชการตามเดิม แต่จมื่นศรีสรรักษ์ก็ยังก่อเรื่องวุ่นวายอีกจนถูกจำคุกอีกสองหน ต่อมาได้เลื่อนเป็นจมื่นสรรเพชญ์ภักดี และได้เลื่อนเป็นออกญาศรีวรวงศ์ตามลำดับ เป็นขุนนางที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างมาก

จนถึง พ.ศ. 2171 สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมประชวรหนัก จึงให้ออกญาศรีวรวงศ์เชิญกระแสรับสั่งออกในที่ประชุมขุนนางเรื่องรัชทายาท ซึ่งเหล่าขุนนางมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย

1. สนับสนุนพระเชษฐาธิราช พระโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งมีพระชนมายุ 14 ชันษา

2. สนับสนุนพระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรมซึ่งผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ฝ่ายนี้มี ออกญากลาโหม พระยาท้ายน้ำ พระยาธรรมไตรโลก พระศรีเนาวรัตน์และพระจุฬา (ราชมนตรี) สนับสนุน

สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระราชประสงค์ให้พระเชษฐาธิราชได้ครองราชสมบัติ ทรงมีรับสั่งให้ออกญาศรีวรวงศ์ แจ้งให้บรรดาเสนาบดีทราบ

วันรุ่งขึ้นหลังสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต พระยาศรีวรวงศ์แจ้งให้เหล่าขุนนางทราบว่าทรงให้พระเชษฐาธิราชครองราชย์ต่อ สมเด็จพระเชษฐาธิราชจึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระบิดา ระหว่างพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระยาศรีวรวงศ์สั่งให้จับออกญากลาโหมกับขุนนางที่สนับสนุนพระศรีศิลป์ไปประหารชีวิตที่ท่าช้าง แล้วริบทรัพย์สมบัติมาแจกจ่ายผู้มีความชอบ สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงตั้งพระยาศรีวรวงศ์เป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม แทนเจ้าพระยามหาเสนาบดีที่ถูกประหาร เรียกกันสั้นๆว่า ออกญากลาโหม

ภายหลังออกญากลาโหมได้ให้ออกญาเสนาภิมุขไปลวงพระศรีศิลป์มาสังหารทิ้ง


การแย่งชิงราชสมบัติ
ใน พ.ศ. 2173 มารดาของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ถึงแก่กรรม (จดหมายเหตุวัน วลิตกล่าวว่าน้องชาย) เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้จัดงานศพอย่างใหญ่โต ขุนนางทั้งหลายต่างไปช่วย บางคนถึงกับไปนอนค้าง เมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชออกว่าราชการ มีข้าราชการหายไปจำนวนมากจึงทรงพระพิโรธว่าจะลงอาญาข้าราชการเหล่านั้น เหล่าข้าราชการจึงไปขอพึ่งเจ้าเจ้าพระยากลาโหมและไม่ไปเข้าเฝ้า พวกข้าหลวงเดิมก็ทูลยุยงว่าเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์คิดเป็นกบฏ จึงทรงให้ข้าหลวงไปหลอกให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เข้าวังมาเพื่อสังหารทิ้ง แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์รู้ตัวก่อนจึงประกาศแก่คนทั้งปวงว่า


...เราได้ทำราชการมาด้วยความสุจริต เดี๋ยวนี้พระเจ้าแผ่นดินพาลเอาผิดว่าคิดกบฏ เมื่อภัยมาถึงตัวก็จำต้องเป็นกบฏตามรับสั่ง...


ข้าราชการทั้งปวงก็พากันเข้าด้วย จึงคุมกำลังเข้ามาปล้นพระราชวัง จับสมเด็จพระเชษฐาธิราชไปปลงพระชนม์

ข้าราชการทั้งปวงจึงอัญเชิญเจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์ให้ขึ้นครองราชย์ แต่เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์ปฏิเสธและอัญเชิญสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ พระโอรสองค์เล็กของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชสมบัติสืบไป โดยมีเจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพราะยังทรงพระเยาว์มากวันๆได้แต่ทรงเล่นสนุก ขุนนางทั้งปวงจึงไปข้อร้องให้เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นครองบัลลังก์เพื่อเห็นแก่บ้านเมือง เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์จึงปลงพระอาทิตยวงศ์ลงจากราชสมบัติ แล้วจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ใน พ.ศ. 2173 เมื่อมีพระชนมายุได้ 30 พรรษา ทรงพระนามสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง


ทรงครองราชย์ได้ 25 ปี สวรรคตลงในปี พ.ศ. 2198 พระชนมายุได้ 55 พรรษา


พระโอรส-ธิดา
พระเจ้าปราสาททองมีโอรสธิดารวมกัน 8 พระองค์ เป็นพระโอรส 7 พระองค์ เป็นพระธิดา 2 พระองค์


พระมเหสีองค์แรกมีพระโอรส 1 พระองค์ คือ
สมเด็จเจ้าฟ้าไชย



พระราชเทวี องค์ที่ 1มีพระโอรส 1 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์ คือ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ กรมหลวงโยธาทิพ (พระราชกัลยาณี)


พระราชเทวี องค์ที่ 2มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ
สมเด็จเจ้าฟ้าอภัยทศ
สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย


พระสนมมีพระโอรส 3 พระองค์ คือ
พระไตรภูวนาถอาทิตยวงศ์
พระองค์ทอง
พระอินทราชา
พระองค์เจ้าแสงจันทร์ ในพระสนมเลื่อน ธิดาเจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) บุตรของเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด - ต้นตระกูลบุนนาค)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
...................................



รัชกาลที่5 ทรงวิจารณ์พระเจ้าปราสาททอง

เรื่องนี้ปรากฎในหนังสือหลายเล่ม เช่น พระราชกระทู้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และคำสนองพระราชกระทู้ของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ว่าด้วย พระเจ้าปราสาททอง
แต่เนื่องจากเป็นการวิจารณ์กราบบังคมทูลสนองพระราชกระทู้ยาวมาก...จึงขอยกมาบางเรื่องให้สั้นลง


ร.5 ทรงวิพากษ์
"ฉลาดในทางอุบายมารยา ฉลาดในทางที่จะเรียนวิชาความรู้ว่องไว แต่ไม่มีความอุสาหะที่จะเรียนให้รู้จริง คือ ปากรู้มากกว่าใจ จนที่ไหนเดาที่นั่น ด้วยความเชื่อว่าคงถูกเชื่อตัวว่ามีสติปัญญา มีบุญ ไม่มีผุ้ใดเสมอซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งชอบยอ และกล้าทำอะไร ๆ ไม่มีความละอาย ด้วยนึกว่าไม่มีใครรู้เท่าเป็นไพร่ตามสันดานเดิมในเมื่อเวลากริ้ว..." พระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ 5 ถึงพระเจ้าปราสาททอง

"ฉลาดในอุบายมารยานั้น คือเมื่อเวลาพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต มีความปรารถนาจะใคร่ได้สมบัติ ข้อนี้ควรจะยกเว้นไม่ติเตียน เพราะพระเจ้าทรงธรรมไม่ได้เป็นผู้ที่ควรเป็นพระเจ้าแผ่นดินยิ่งกว่าพระเจ้าปราสาททอง วิชาก็มีด้วยกัน ฝ่าสยหนึ่งถนัดข้างพระไตรปิฏก ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่ามีเวมมนตร์ขลัง และสติปัญญามากกว่าเอาเป็นตีรั้งกันควรปรารถนา

"อาการที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้น เอาโดยทางมารยา คือยกพระเชษฐาซึ่งคงจะเป็นคนโง่ยิ่งกว่าพระศรีศิลป์ พระบิดาคงมุ่งให้พระศรีศิลป์รับสมบัติ จึงแกล้งไม่ยกสมบัติให้ พระศรีศิลป์ซึ่งเป็นคนฉลาดแต่ไม่ใช่ฉลฃาดดี ฉลาดอย่างกักฬะ พระศรีศิลป์จึงได้หนีออกไป คงจะด้วยถุกอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงไม่ได้ทันต่อรบอย่างหนึ่งอย่างใดให้กับสมกับที่เป็นกบถ หลอกให้พี่น้องแหนงกันเอง ฆ่ากันสมประสงค์"



พระยาโบราณราชธานินทร์ได้แก้ต่าง....
"ตามที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า อาการที่พระเจ้าปราสาททองจะเอาแผ่นดินนั้น เอาโดยทางมารยา คือแกล้งยกพระเชษฐาซึ่งคงเป็นคนโง่ยิ่งกว่าพระศรีศิลป์ที่พระบิดาคงมุ่งหมายที่จะให้รับราชสมบัติและหลอกให้พี่น้องแหนงกันจนฆ่ากันสมประสงค์นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ถ้าพระเจ้าปราสาททองปองที่จะเอาสมบัติอยู่แล้ว ถึงพระศรีศิลป์จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็คงรักษาพระองค์ไม่รอดเหมือนกัน เพราะกำลังวังชาและอำนาจของพระเจาปราสาททองในเวลานั้นมีมากนัก

ซึ่งยกพระเชษฐาขึ้นครงอราชสมบัตินั้น เห็นด้วยเกล้าฯว่าคงทำตามโบราณราชประเพณี ที่ต้องยกพี่ขึ้นใหญ่กว่าน้อง ประการหนึ่ง ถ้าหากยกพระศรีศิลป์ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พระเชษฐกับพระศรีศิลป์ก็คงจะบาดหมางไม่ปรองดอง คิดฆ่ากันไปเหมือนกัน"


ร.5 ทรงวิพากษ์ต่อ...
"แกล้งทำการศพให้คึกคัก แต่งคนให้ลือให้พระเจ้าแผ่นดินตกใจ ผู้ที่ลือนั้นคือจมื่นสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นผู้ส่งข่าวนั้นเอง เข้ามาเป็นใส้ศึก พอหลอกให้ตกใจให้ไปรับสั่งให้หาก็เลยพาลเป็นกบถ หาว่าพระเจ้าแผ่นดินเตรียมให้คนขึ้นป้อมวัง ความนี้ก้ไม่จริง ปรากฎเมื่อยกมาแต่เวลาบ่ายสามโมง อยู่าจนสองทุ่มเข้าไปฟันประตู ไม่มีใครรู้ทัน ไม่ได้ต่อสู้กันเลย คำอธิษฐานที่อ้างเอาความปรารถนาโพธิญาณเป็นสัจจาธิษฐาน นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเย่อหยิ่งมาก"


พระยาโบราณราชธานินทร์ แก้ต่าง...
"ตามที่ทรงพระราชดำริว่า พระเจ้าปราสาททองแกล้งทำการสพให้คึกคัก แต่งคนให้ลือให้พระเจ้าแผ่นดินตกพระทัย พอให้รับสั่งให้ไปหาก็เลยพาลเป็นถบถนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่าในเวลานั้น พระเจ้าปราสาททองเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เป็นยประธานในราชการแผ่นดิน จะทำการงานใดก็คงมีผู้ไปช่วยเพือ่การประจบ และพระเชษฐาในเวลานั้นก็คงจะง่อนแง่นเต็มทีอยู่แล้ว

ถึงในข้อที่ว่า ตระเตรียมคนให้ขึ้นป้อมวังนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า น่าจะรับสั่งให้ตระเตรียมจริง เพราะทรงตกพระทัยและหวาดอยู่แล้ว แต่เห็นด้วยเกล้าฯว่าคงจะไม่ได้คนมาขึ้นป้อมล้อมวังตามรับสั่ง ด้วยข้าราชการคงจะไปฝักใฝ่กับพระเจ้าปราสาททองเสียหมด จึงไม่ได้ต่อสู้กัน

คำอธิษฐานซึ่งอ้างเอาความปราถนาโพธิญาณซึ่งทรงพระราชฃดำริเห็นว่าเป็นการเย่อหยิ่งนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า คงจะทรงตามๆกันไป เช่นพระเจ้าทรงธรรมเองก็น่าจะได้กล่าวอย่างนี้เหมือนกัน"



ร.5 ทรงวิพากษ์ต่อ
"ตั้งพระอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จนกระทั่งถอดเสียเป็นการมารยาทั้งนั้น.."

พระยาโบราณราชธานินทร์ แก้ต่างอีก..
"ซึ่งทรงพระราชดำริเห็นว่า ที่ตั้งพระยาอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินจนกระทั่งถอดเสียเป็นการมารยานั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่าในเรื่องนี้จำเป็น พระเจ้าปราสาททองจะต้องทำเช่นนั้น ด้วยพระอาทิตยวงศ์ยังมีอยู่ ถ้าจะเอาราชสมบัติทีเดียวคนทั้งปวงก็จะเห็นว่าเป็นขบถ ฆ่าพระเชษฐาเพื่อจะเอาราชสมบัติ"
(ความทั้งหมด อยู่ในบันทึกพระยาโบราณราชธานินทร์ ( พร เดชะคุปต์ ) เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก 125)


จากหนังสือ"พระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์นักสู้"
เขียนโดยนายแพทย์วิบูล วิจิตรวาทการ
.............................................................