ก่อนสงครามกลางเมือง ฟาร์มส่วนใหญ่ในดินแดนทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาใช้แรงงานจากทาสผิวดำ ซึ่งทาสเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการปฏิบัติจากชาวผิวขาวผู้เป็นนายไม่ดีไปกว่าสัตว์เลี้ยงเท่าไรนัก ความโหดร้ายที่ทาสเหล่านี้ได้รับ ทำให้หลายคนกระเสือกกระสนหาหนทางที่จะไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ในคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนฟาร์มซึ่งมีชื่อว่า เมอร์เทิลส์ ฟาร์มแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองเซนท์ ฟรานซิส วิล ในมลรัฐหลุยส์เซียน่า

ในช่วงเวลาดังกล่าว ฟาร์มแห่งนี้เป็นของ จัจด์ คลาร์ค วู้ดรัฟฟ์ และ ซาร่า มาทิลดา ผู้เป็นภรรยา ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันสองคน และถือว่าเป็นครอบครัวที่ได้รับความนับหน้าถือตาในชุมชน โดยจัจด์นั้น มีชื่อเสียงว่าเป็นชายผู้รักครอบครัวและยึดมั่นในกฏหมาย ทว่าเบื้องหลังของหน้ากากที่ดีงามนั้น จัจด์คือชายผู้มักมากในกามและชอบบังคับสตรีเพศ โดยเมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาส จัจด์ก็จะแอบไปมีสัมพันธ์ทางเพศกับเหล่านางทาสของเขาเสมอ

โคลเอ เป็นนางทาสเลือดผสมที่รับใช้ครอบครัววู้ดรัฟฟ์ในฐานะครูของเด็กๆ เธอเองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของจัจด์เช่นกัน แม้ว่าในช่วงแรกโคลเอจะขยะแขยงในสิ่งที่จัจด์ทำกับเธอ แต่เธอก็รู้ดีว่า หากขัดขืน เธอก็จะต้องถูกเจ้านายผิวขาวส่งกลับไปทำงานหนักในไร่เหมือนกับทาสคนอื่นๆ ทั้งนี้สำหรับโคลเอแล้ว การได้ทำงานในคฤหาสน์นั้นยังทำให้เธอได้มีโอกาสสัมผัสกับคำว่า อิสระ อยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงจำต้องยอมตามความต้องการของผู้เป็นนาย

ครั้นเมื่อเวลาผ่านไป โคลเอเริ่มรู้สึกว่า จัจด์กำลังจะเบื่อเธอและมองหาคู่ขาคนใหม่ นั่นเองที่ทำให้เธอรู้สึกกลัวว่าจะต้องถูกส่งกลับไปทำงานหนักในไร่ดังเดิม ทำให้เธอตัดสินใจแอบฟังการสนทนาของครอบครัววู้ดรัฟฟ์เพื่อค้นหาความจริงในเรื่องที่เธอกลัว ทว่าวันหนึ่ง จัจด์มาเห็นการแอบฟังของเธอ เขาโกรธมากจึงสั่งให้คนตัดหูของเธอหนึ่งข้าง และนับแต่นั้นมา โคลเอก็จะเอาผ้าสีเขียวโพกหัวไว้เพื่อปกปิดรอยแผลเป็นที่น่าเกลียด

หลังจากวันนั้น จัจด์มักจะเกรี้ยวกราดกับโคลเอเสมอ ซึ่งทำให้เธอเกิดความคิดว่า เธอจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อพิสุจน์คุณค่าของตัวเองให้ครอบครัววู้ดรัฟฟ์เห็นและจะได้ทำให้เธอมีโอกาสกลับมาเป็นคนโปรดอีกครั้ง

โคลเอตัดสินใจวางยาคนในครอบครัววู้ดรัฟฟ์โดยคั้นพิษจากใบยี่โถผสมลงในเค้กวันเกิดที่เสิร์ฟในงานวันเกิดของลูกสาวคนโตของครอบครัววู้ดรัฟฟ์ เธอรู้ดีว่าพิษของใบยี่โถนั้นมีเพียงเล็กน้อยและไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ความตั้งใจของเธอก็คือ ทำให้ครอบครัววู้ดรัฟฟ์ป่วย จากนั้นเธอจะคอยดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีจนหาย เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นคุณค่าในตัวเธอ โคลเอรักพวกเด็กๆมากและเธอก็ระมัดระวังด้วยการใช้พิษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

บังเอิญว่าในงานวันนั้น จัจด์ไม่อยู่บ้าน จึงมีเพียงมาทิลดาและลูกสาวทั้งสองเท่านั้นที่กินเค้ก ทว่าหลังจากทั้งสามกินเค้กเข้าไป เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่โคลเอคาดหมาย ทุกคนเริ่มมีอาการชักและร้องครวญครางด้วยความทรมาน โคลเอพยายามนำพวกเขาไปที่เตียงนอนและช่วยปฐมพยาบาล แต่ก็สายเกินไป เพราะมาทิลดาและลูกสาวทั้งสองคนได้ขาดใจตายไปในเวลาไม่นาน

ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว บรรดาทาสอื่นๆต่างหวาดกลัวว่าความโกรธของจัจด์ที่มีต่อโคลเอจะทำให้พวกตนพลอยถูกลงโทษไปด้วย จึงคิดที่จะทำบางสิ่งเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของพวกเขาว่าไม่ได้รู้เห็นกับการวางยาครั้งนี้

และในคืนหนึ่ง บรรดาทาสก็พากันเข้าจับตัวโคลเอขณะที่เธอกำลังนอนอยู่ในเรือนพัก และนำตัวเธอไปแขวนคอกับต้นโอ๊คจนขาดใจตาย จากนั้นก็นำร่างไร้วิญญาณมาถ่วงด้วยก้อนหินและโยนลงไปในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้

หลังเหตุการณ์ทั้งหมด จัจด์ได้ปิดตายห้องที่เกิดเหตุและไม่เคยเปิดมันอีกเลย จากนั้นในปีต่อมา คฤหาสน์และฟาร์มเมอร์เทิลส์ก็ถูกขายไป ทว่าเจ้าของบ้านคนใหม่กลับพบว่า ไม่ได้มีเพียงพวกเขาเท่านั้นในบ้านหลังนี้

วันหนึ่ง เมื่อหนึ่งในสมาชิกครอบครัวเจ้าของบ้านคนใหม่ถ่ายภาพของคฤหาสน์หลังนี้จากด้านหน้า พวกเขาก็พบว่ามีภาพของเงาของคนลึกลับยืนอยู่ใกล้กับระเบียง และดูเหมือนเงานั้นจะโพกหัวด้วยผ้า และในตอนกลางคืนก็มีคนได้ยินเสียงฝีเท้าเดินผ่านทางเดินในตัวบ้านอย่างไม่มีจุดหมาย ทั้งยังมีสมาชิกในบ้านหลายคนที่พบว่า ตัวเองถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก โดยหญิงผิวดำลึกลับที่โพกหัวด้วยผ้าเขียว ที่เข้ามาเลิกมุ้งของพวกเขาและทำทีเหมือนกำลังมองหาใครสักคน ก่อนที่ร่างลึกลับนั้นจะละลายหายไป ทิ้งไว้เพียงความน่าขนลุก

นอกจากวิญญาณของโคลเอแล้ว ยังมีผู้พบเห็นภาพของเด็กหญิงสองคนที่เชื่อว่า เป็นลูกสาวของครอบครัววู้ดรัฟฟ์ ปรากฏอยู่ในกระจกบริเวณทางเดินของคฤหาสน์ ทั้งยังมีคนได้ยินเสียงเด็กๆร้องเรียกชื่อพวกเขาดังมาจากห้องที่อยู่ไกลออกไป ทั้งๆที่ในเวลานั้น ผู้ที่ประสบเหตุ อยู่เพียงลำพังในบ้าน

ผู้ที่มาเยือนคฤหาสน์บางคนยังได้เล่าอีกว่า ในยามค่ำคืน พวกเขาพบเห็นร่างของเด็กหญิงสองคนสวมชุดกระโปรงสีขาวมาวิ่งเล่นอยู่ภายในห้องโถงก่อนจะจางหายไป ทั้งยังมีหลายครั้งที่พวกเขารู้สึกว่าตัวเองถูกแอบมองจากดวงตาลึกลับที่อยู่หลังบานหน้าต่าง หรือบางครั้งโคมไฟระย้าบนเพดานห้องแกว่งไปมาอย่างไร้สาเหตุ ขณะที่บางคนก็พบว่า ในยามดึกขณะที่กำลังนอนอยู่นั้น เตียงนอนของพวกเขาก็เกิดสั่นขึ้นมาคล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็น มาเขย่ามัน

จนถึงทุกวันนี้ ผู้คนที่รู้จักสถานที่แห่งนี้ ต่างก็เชื่อกันว่า ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตยังคงสิงสู่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ และยังคงปรากฏกายให้ผู้มาเยือนบางคนได้พบเห็นและรับรู้เรื่องราวของชะตากรรมที่น่าเศร้าของวิญญาณเหล่านั้น

ที่มา : http://www.komkid.com