วันนี้มาตอบกันต่อด้วยข้อมูลจาก สุมาลี สุขดานนท์ นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าผลกระทบของสนธิสัญญานานกิงที่จีนจำต้องลงนามเมื่อพ่ายแพ้สงครามฝิ่นครั้งแรก (ค.ศ.1834-1843) ในด้านสังคมที่ร้ายแรงที่สุด คือการค้าฝิ่นเป็นเรื่องถูกกฎหมาย โดยถือว่าเป็นยารักษาโรคและทำได้โดยเสรี

ทำให้สังคมจีนอยู่ในสภาพอ่อนแอ เพราะประชากรจำนวนมากติดยาเสพติด นอกจากนี้สินค้าราคาถูกที่ผลิตจากเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมจากยุโรปหลั่งไหลเข้าจีน ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอ และก่อให้เกิดปัญหาคนว่างงานจำนวนมหาศาล

สิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ชาวอังกฤษรวมถึงคนในอาณัติได้รับ ทำให้ชาติตะวันตกแผ่อิทธิพลเข้าในประเทศจีนอย่างกว้างขวาง สภาพดังกล่าวนี้ "เหมาเจ๋อตง" อดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน วิเคราะห์ว่าทำให้จีนตกอยู่ในสภาพ "กึ่งเมืองขึ้น-กึ่งศักดินา" อีกทั้งยังเป็นแหล่งซ่องสุมมิจฉาชีพและอาชญากร ทั้งนี้เพราะสามารถกระทำความผิดได้โดยไม่ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายจีน เพียงแต่หลบเข้าไปอยู่ในเขตที่อยู่ในอิทธิพลตะวันตก

สำหรับสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (ค.ศ.1856-1860) หรือรู้จักกันในชื่อ สงครามแอร์โรว์ (Arrow War) เป็นผลมาจากอังกฤษต้องการเจรจาแก้สนธิสัญญานานกิง เพื่อให้ตนได้รับประโยชน์จากการค้ามากขึ้น ซึ่งจีนไม่ยอม ชนวนของสงครามมาจากเจ้าหน้าที่จีนยึดเรือแอร์โรว์ ซึ่งเป็นเรือของชาวจีนแต่จดทะเบียนเป็นเรืออังกฤษ และจับกุมลูกเรือซึ่งเป็นคนจีนทั้งหมด 12 คน ด้วยข้อกล่าวหากระทำการเป็นโจรสลัดและลักลอบขนสินค้าเข้าเมือง อังกฤษเรียกร้องให้จีนคืนเรือและปล่อยตัวลูกเรือทั้งหมด อ้างว่าเรือดังกล่าวชักธงอังกฤษ จึงควรได้รับการปกป้องตามสนธิสัญญานานกิงแต่จีนปฏิเสธ

ขณะเดียวกันบาทหลวงฝรั่งเศสถูกฆ่าตาย อังกฤษและฝรั่งเศสถือเป็นข้ออ้างยกกองเรือมาปิดล้อมเมืองกวางโจว มีรัสเซียและสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตร จีนพ่ายแพ้อีกครั้ง ต้องลงนามในสนธิสัญญาสงบศึก ณ เมืองเทียนจินในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1858

แต่การสู้รบก็เกิดขึ้นอีกในปี 1859 เมื่อจีนปฏิเสธที่จะให้อังกฤษตั้งสถานทูตในนครหลวงปักกิ่ง การรบสู้รบเกิดขึ้นทั้งในปักกิ่งและฮ่องกง ก่อนยุติลงเมื่อชาติตะวันตกบุกปล้นวัตถุโบราณและของมีค่าแล้วเผาพระราชวังฤดูร้อน 2 หลัง คือ ชิงอี และหยวนหมิงหยวน ช่วงวันที่ 18-19 ตุลาคม 1860 จีนยอมจำนนด้วยเกรงว่าจะถูกบุกยึดพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่ง โดยลงนามยุติการสู้รบกับอังกฤษวันที่ 24 ตุลาคม 1860

ผลของสนธิสัญญาเทียนจิน ค.ศ.1842 ที่รัฐบาลชิงจำยอมลงนามกับมหาอำนาจตะวันตก 4 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ทำให้จีนต้องเปิดเมืองท่าชายเพิ่มขึ้น 11 แห่ง ชายฝั่งตะวันออกถูกเปิดกว้างให้มหาอำนาจตะวันตกค้าขายได้อย่างเสรีภายใต้ระบบการค้าเมืองท่าตามสัญญา

โดยเสียภาษีนำเข้าไม่เกินร้อยละ 2.5 มหาอำนาจตะวันตกทั้ง 4 ชาติ มีสิทธิจัดตั้งสถานกงสุลในนครหลวงปักกิ่ง และกองทัพเรือของชาติเหล่านี้สามารถผ่านเข้าออกแม่น้ำฮวงโหได้อย่างเสรี ชาวตะวันตกสามารถเดินทางเข้าไปยังตอนในของแผ่นดินจีนได้อย่างเสรี และจีนต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส อีกทั้งจ่ายค่าชดใช้ค่าเสียหายให้แก่พ่อค้าอังกฤษ

ส่วนข้อตกลงปักกิ่ง ค.ศ.1860 ที่จีนทำกับอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ทำให้สัญญาเช่าพื้นที่ตอนใต้ของคาบสมุทรเกาลูน (ปัจจุบันคือถนน Boundary) ซึ่งอังกฤษลงนามขอเช่าจากจีนในเดือนมีนาคม 1860 สิ้นสุดลง และต้องยกพื้นที่บริเวณนี้ให้อยู่ในอาณัติของอังกฤษรวมกับเกาะฮ่องกง (รวมถึงเกาะ Stonecutters) เปิดเมืองเทียนจินให้เป็นเมืองท่าตามสัญญาเพิ่มอีก 1 เมือง จ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามเพิ่มเติมจากสนธิสัญญาเทียนจิน

ในปี 1898 อังกฤษทำข้อตกลงปักกิ่งครั้งที่ 2 ขอเช่าพื้นที่ทางตอนใต้ของลำน้ำเสิ่นเจิน (ปัจจุบันคือซินเจี้ย) ส่งผลให้อังกฤษได้ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่กว่าเมื่อครั้งอังกฤษเข้ายึดครองเมื่อชนะสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 เกือบสิบเท่า โดยพื้นที่ทั้งหมดเป็นเขตเช่าของอังกฤษเป็นเวลา 99 ปี (ค.ศ.1898-1997)



คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.ocm