เราออกเดินทางจากเกาะสมุยที่อยู่มาเป็นเวลากว่าห้าปีในเช้าวันที่ 7 มกราคม 2555
แม่บอกว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดเลยทีเดียวกับการตัดสินใจกลับบ้านแบบถาวรของเราในครั้งนี้...
ตอนเย็นวันที่ 6 มกราคม 2555 หลังเลิกงานวันสุดท้าย เราใช้เวลาแพ็คของกว่าจะเรียบร้อยก็กินเวลาไปถึงเที่ยงคืน
ตลอดคืนนั้นเรานอนไม่ค่อยหลับ เพราะกังวลว่าอาจจะเอาของกลับบ้านได้ไม่หมดทุกชิ้น(โดยเฉพาะกระถางต้นไม้)
และตื่นเต้นที่จะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบที่ไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนที่บ้านเกิดเมืองนอน มาเผลอหลับเอาตอนเกือบตีสาม
รู้สึกตัวอีกทีตอนตีห้า เพื่อจะเก็บรายละเอียดสิ่งของต่างๆ อีกครั้ง มีหลายชิ้นที่ต้องตัดใจทิ้งไว้ที่เกาะสมุย(กระถางต้นไม้บางส่วนก็ด้วย ซิกๆ)
9.00 น.โดยประมาณ เรือเฟอรี่กำลังเคลื่อนออกจากท่าเรือเกาะสมุยอย่างช้าๆ
เช่นเคยเราขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าของเรือ ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการรับลมเย็นสบายและชมวิวทิวทัศน์โดยรอบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
แต่คราวนี้เราต้องการเก็บความทรงจำและภาพสุดท้ายของเกาะสมุยเอาไว้ให้นานๆ..
ช่วงเวลากว่าห้าปีที่ผ่านมาบนเกาะสวาทหาดสวรรค์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่งนี้
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิต มีความทุกข์ ความสุข ความรัก และมิตรภาพดีๆที่เกิดขึ้นและไม่อาจลบเลือนไปจากความทรงจำได้
เรารักและผูกพันกับเกาะแห่งนี้เหลือเกินและทุกๆชีวิตบนเกาะแห่งนี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
นึกย้อนไปถึงเมื่อห้าปีที่แล้ว วันที่เราบอกกับบุคคลอันเป็นที่รักของเราทั้งสองคนว่า
"แม่..พอดีว่าหมู่ของเจ้านายหนู เพิ่นมีบริษัท Import - Export (นำเข้าและส่งออกสินค้าจากต่างประเทศ)
เกี่ยวกับพวกเครื่องดื่ม เช่น เหล้า ไวน์ เบียร์ แล้วกะอาหารของเยอรมัน มาส่งตามร้านอาหาร บาร์ แล้วก็โรงแรมตามสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย
แล้วเพิ่นสิขยายสาขาใหม่อยู่เกาะสมุย เพิ่นอยากให้หนูไปเป็นผู้จัดการสาขาให้ เจ้านายหนูเลากะสนับสนุน ว่าเป็นโอกาสที่ดี พ่อกับแม่สิว่าจั่งได๋?"
คำแรกที่แม่ถามก็คือ "เกาะสมุยมันอยู่ส่วนได๋ของประเทศไทยล่ะนาง?" ส่วนพ่อนั้น เมื่อสมัยเป็นหนุ่มเคยมาออกเรือหาปลาที่น่านน้ำทะเลอ่าวไทยมาก่อน
พ่อบอกว่า เวลาออกเรือไป ก็จะไปแวะเอาน้ำจืดที่เกาะสมุยไปกินไปใช้กันบนเรือนั่นเอง
พ่อบอกกับแม่ว่า "เกาะสมุย มันกะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานีเด้เฒ่าอันนี้ แต่ว่า สมัยข่อยเป็นหนุ่ม บ่ทันได้เจริญอิหยังดอก ฮ๊ก ฮก"
ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องราวในอดีตกับวีรกรรมสมัยเป็นหนุ่มและร่างกายยังแข็งแรงนั้น พ่อจะเล่าด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มและแววตาเป็นประกายของความสุขและภูมิใจทุกครั้ง
แน่ล่ะเพราะว่าชีวิตของพ่อลำบากมากนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เราเองก็ต้องแสดงให้พ่อเห็นว่า เราเองก็ลูกสาวพ่อ จะเดินทางตามรอยเท้าพ่อให้ได้ และเรานี่ล่ะจะดูแลพ่อกับแม่เอง
"แต่ว่ามันไกลเด้ล่ะนาง พ่อกับแม่กะเป็นห่วง ไปอยู่ไกลปานนั้นกะเบิ่งแยงเจ้าของให้ดีเด้อนาง เป็นจั่งได๋กะโทรมาเว้าสู่พ่อกับแม่ฟัง คันบ่เป็นตาอยู่
กะคืนมาบ้านเฮาเด้อ อย่าไปอดเด้อ "
เรารู้ดีว่าพ่อกับแม่ไม่ได้อยากให้เราจากมาไกลถึงขนาดนี้หรอก แต่ต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของเราต่างหากเล่า
และด้วยสไตล์การเลี้ยงลูกของพ่อกับแม่ ปล่อยให้ลูกคิดและตัดสินใจเอง เพียงแต่ให้คำแนะนำอยู่ห่างๆ ตั้งแต่เกิดมา เราไม่เคยถูกบังคับให้ต้องทำอะไรตามใจท่าน
ขอเพียงแต่ให้เป็นคนดีของสังคม อย่ายุ่งกับสิ่งผิดกฎหมายและยาเสพติดเท่านั้นพอ
วันที่เดินทางจากบ้านมา เราอดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้าตอนที่นั่งอยู่บนรถ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยจากบ้านมาไกลขนาดนี้เลย
ยังไม่รู้เลยว่า"เกาะสมุย" นั้นจะน่าอยู่หรือเปล่า นอกจากตำแหน่งงานที่ต้องรับผิดชอบแล้ว สิ่งที่ล่อใจให้อยากไปที่เราไม่ลังเลที่จะตัดสินใจก็คือ
เงินเดือนและสวัสดิการที่พอประมาณนั้น หมายถึงค่ายา ค่าหมอ ของพ่อ ค่ารถ ค่าใช้จ่าย ค่ากินค่าอยู่ในชีวิตประจำวันของสามชีวิตจะสามารถผ่านพ้นไปได้ในแต่ละเดือนนั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะอดใจหายไม่ได้ขณะที่ล้อรถหมุนไกลจากบ้านออกมาทุกทีๆ วันนี้ขอเป็นนางเอกมิวสิควีดีโอสักครั้งก็แล้วกัน....
หลังจากการเดินทางอันยาวนานหลายชั่วโมงจากอุดรธานีถึงเกาะสมุย การเดินทางเป็นไปโดยสวัสดิภาพ เราเริ่มงานใหม่กับตำแหน่งผู้จัดการสาขาเกาะสมุย
ของบริษัท Import - Export ที่มีบอสเป็นคนเยอรมันนี การทำงานเป็นไปด้วยความท้าทายทั้งในเนื้องานและภาษา
ความรู้ติดตัวที่มีมาคือความเชี่ยวชาญในโปรแกรมต่างๆของคอมพิวเตอร์(ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง พิมพ์ดีดสัมผัสไทย-อังกฤษ และ ไมโครซอฟเวิร์ดเท่านั้นเอง)
และความรู้เรื่องภาษาอังกฤษก็พออ่านออกเขียนได้ แต่บอสใหม่บอกว่า "หัวใจเกินร้อยของคุณต่างหาก ที่บริษัทเราต้องการ"
"แม่นแหล่ว คันเจ้าหาคนมาติดเกาะได้ ข่อยกะคือสิบ่ได้มาติดเกาะเองดอก" เราได้แต่เพียงคิดในใจ อิอิ
ลูกค้าชาวต่างชาติของบริษัทที่มีกิจการในเกาะสมุย และนักท่องเที่ยวนั้นมีหลายประเทศมาอยู่รวมกัน
และแน่นอนสำเนียงภาษาอังกฤษก็เป็นในแบบฉบับของแต่ละชาติ ซึ่งบางทีกว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็เมื่อยมือกันไปเลยทีเดียว (ฮ่วย)
ที่เกาะสมุยบริษัทมีบ้านพัก(เช่า)ให้หนึ่งหลังเล็กๆ อยู่ท่ามกลางดงมะพร้าวเจ้าของบ้านเป็นลุงกับป้าคนพื้นที่ ที่ใจดีถึงแม้ว่าจะคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม
เพราะว่าแกแหลงใต้กับเราตลอด ทั้งๆที่หน้าตาเราออกแนวอิสานซะขนาดนี้ แล้วยังต้องเจอกับพม่าที่พูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดอีกต่างหาก
หลากหลายภาษากันเลยก็ว่าได้สำหรับเกาะสมุยแห่งนี้.......
และนอกจากนั้นก็มีรถยนต์(กระบะกลางเก่ากลางใหม่)ให้ใช้หนึ่งคัน บอสฝรั่งบอกว่า เธอใช้ได้เต็มที่เลยนะ
อยากขับไปไหนก็ซิ่งไปได้เลย "กะแม่นแหล่ว สิไปไสได้อยู่เกาะกลางทะเลแบบนี้ ว่าแท้กะขับวนรอบเกาะนี่ล่ะ " เราแอบขำคนเดียว
หลังจากนั้นสองวันมีคนมาสมัครเป็นคนขับรถส่งของ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเลยแถมยังเป็นคนชัยภูมิเหมือนพ่ออีกต่างหาก
แกชื่อลุงหมาน
มีภรรยาเป็นคนขอนแก่นทำงานเป็นกุ๊กอยู่ในร้านอาหารสวิสฯ แถวๆ หาดแม่น้ำ
ซึ่งห่างจากออฟฟิศที่อยู่แถวๆ สนามบินเกาะสมุยประมาณ 6 กิโลเมตร
และดูเหมือนเราจะมีแค่สองสามีภรรยาคู่นี้เท่านั้นที่พอจะพูดคุยและให้ความช่วยเหลือเราได้ในเกาะกลางทะเลอ่าวไทยแห่งนี้ในช่วงสองปีแรก
หลังจากสอนงานให้เราได้หนึ่งอาทิตย์บอสฝรั่งกับภรรยาชาวฟิลิปปินส์เดินทางกลับสำนักงานใหญ่
และหลังจากวันนั้นก็จะเป็นหุ้นส่วนคนอื่นของบริษัทลงมาดูความเรียบร้อยบ้างสองสามเดือนครั้ง พอเวลาผ่านพ้นไปเข้าปีที่สาม ก็มากันปีละสองครั้ง
สรุปว่าการทำงานของเราก็ถือว่าสบายมากๆ เป็นอิสระในการตัดสินใจ และเราก็รู้สึกรักเกาะกลางทะเลแห่งนี้มาก แต่ก็อดนอนร้องไห้คิดถึงบ้านไม่ได้
ในวันที่พายุเข้า ฝนตกและลมแรง ........บ่อยครั้งที่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ทำไมเราต้องมาอยู่ไกลถึงที่นี่นะ?"
เรายังจำได้ถึงวันที่โทรกลับบ้านแล้วเล่าถึงเกาะสมุยให้พ่อฟัง "พ่อๆ เกาะสมุยสมัยตะกี้เป็นจั่งได๋? ตอนนี้ มีท่าเรือเฟอรี่สองท่าแล้วกะมีสนามบินนำจ้า
มีห้างโลตัส แมคโคร แล้วกะบิ๊กซีกำลังสร้างพร้อมเด๊ะ ถนนรอบเกาะเป็นถนนคอนกรีตกว้างสองเลน ตอนนี้กำลังสิลาดยาง"
พ่อบอกว่า "ป้าด เจริญขึ้นหลายเนาะ เดี๋ยวพ่อแข็งแรงนี้ล่ะพ่อสิไปยาม เทื่อมีช่องทางทำมาหากิน ไปหาหาบไข่ปิ้งขายอยู่เกาะสมุยกะดีเด้ล่ะเนาะ"
น้ำเสียงของพ่อดูมีความสุขและมีความหวังว่าแกจะหายป่วย และนี่ล่ะคือกำลังใจให้เราต้องอดทน........และนี่ล่ะคือคำตอบว่าทำไมเราต้องมาอยู่ไกลถึงที่นี่........
ก้าวย่างเข้าสู่ปีที่สาม เราเริ่มรู้จักบ้านมหาดอทคอม เริ่มมีเพื่อนคุยและมิตรภาพที่ดีๆที่เกิดขึ้น ทำให้คลายความเหงาลงไปได้บ้าง และที่นี่ทำให้เราได้เจอผู้ชายคนหนึ่ง
ที่เข้ามาดูแล ให้กำลังใจ และคือคนที่พาสาวอุดรฯพลัดถิ่นคนนี้คืนถิ่นในเวลาต่อมา .... และเรายังได้รู้จักนู๋น้อยจากการที่ได้พูดคุยกันทางห้องแชท และเกิดความผูกพัน
คบหาเป็นเพื่อนกันจนทุกวันนี้ เส้นทางชลบุรี-เกาะสมุย นู๋น้อย "เทียวว่าแม่นทางไปนากะว่าได้"
นอกจากนั้นก็มี ข้าวเหนียวกะหมูปิ้ง สาวอุดรฯพลัดถิ่นเช่นกัน แต่มาอยู่เกาะสมุยสิบห้าปีแล้วในตอนนั้น ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันมา เธอก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
รวมถึงจ่อยน้อย ว่างเปล่า มีนา ลูกชายหล่า สมุยบอย ท่านนายห้างโสเจ้ง(ผู้บ่าวคุ้มวัด) อ้ายหนุ่มแก่นนคร อ้ายครูอาคม
และเอื้อยคนติดเกาะ ที่พลัดถิ่นเหมือนกันจนได้ก่อตั้งคุ้มบ้านมหาทะเลใต้ขึ้นมา
ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกความรัก และมิตรภาพที่มีให้กันด้วยดีเสมอมา
ในขณะที่ทุกๆชีวิตก็ต้องดำเนินไปในเส้นทางของชีวิต อาการป่วยของพ่อก็ทรงๆ ทรุดๆ แต่ทุกครั้งที่่คุยกัน พ่อก็จะบอกว่าพ่อยังสู้ไหว ยังอยู่เป็นกำลังใจให้ลูกอีกนาน
เราเองก็ต้องเดินต่อไป ถึงแม้ว่าอยากจะกลับไปดูแลใจจะขาด แต่เราซึ่งเป็นเสาหลักของบ้าน ถ้าออกจากงานไปตอนนี้ ทุกคนจะเป็นอย่างไร จะอยู่อย่างไร
แม่แอบเล่าให้ฟังว่า บ่อยครั้งที่พ่อตัดพ้อกับโชคชะตา ว่าแกเป็นภาระให้ลูกเมีย เงินทองที่ลูกส่งให้ในแต่ละเดือนนั้นมากโข ถ้าไม่ต้องเอามาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาแก
ป่านนี้ ทุกคนคงอยู่กันอย่างสุขสบาย เราได้แต่ปลอบพ่อทางโทรศัพท์ว่า "อย่าไปคึดหยังหลายให้เจ้าของบ่ซำบายใจเด้อจ้าพ่อ มันสิเฮ็ดให้อาการป่วยหนักกว่าเก่า
ที่หนูต้องมาอยู่ไกลปานนี้ กะย้อนว่าอยากให้เจ้าเซา เฮาบ่มีเงินเหลือเก็บกะบ่เป็นหยังดอกจ้า ยังดีกว่าเฮาไปกู้หนี้ยืมสินเพิ่นมาเป็นค่ารักษา เฮ็ดใจให้สบายๆเด้อจ้า
แข็งแรงยามได๋ พาเฒ่าแม่ลงมายามหนูอยู่เกาะสมุยเด้อจ้า"
นี้คือสิ่งที่เราพอทำได้ ทำได้เพียงปลอบใจและรักษาสภาพจิตใจของคนป่วยให้ดีที่สุด และนึกสงสารแม่ ที่ต้องตรากตรำดูแลคู่ชีวิตมาเป็นเวลาหลายปี
นี่ซินะ คู่ทุกข์คู่ยาก ตั้งแต่จำความได้ พ่อกับแม่ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง หรือแยกจากกันไปไหนไกลเลย สองคนจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เสมอมา
ระยะเวลาเกือบสิบปีที่พ่อต้องทนทุกข์ทรมาณกับโรคที่เป็นอยู่ ในที่สุดพ่อก็หลุดพ้นจากความเจ็บปวดของร่างกายทั้งปวงไปในวันที่ 23 สิงหาคม 2554
ก่อนหน้านั้นสองวันพ่อโทรมาพูดคุย ให้กำลังใจและสั่งเสียเราเป็นครั้งสุดท้าย ถึงแม้ว่าจะทำใจยอมรับมาตั้งนานแล้ว
แต่พอเหตุการณ์นี้มาถึงจริงๆเราก็อดใจหายไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเรารู้สึกอุ่นใจเสมอ เมื่อนึกว่าพ่อยังคอยเราอยู่ที่บ้านและเอาใจช่วยเราอยู่เสมอ......
นอกจากความเสียใจและเสียดายที่พ่อไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะใช้่ชีวิตบั้นปลายที่สุขสบายเหมือนที่เราหวังไว้แล้ว เรายังรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
ที่ผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตคนนี้ไม่ได้อยู่กับเราในโลกนี้แล้ว ไม่สามารถโทรหาเพื่อปรึกษาและพูดคุยได้เหมือนเดิมอีกแล้ว.......
ตอนที่เปิดดูหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทำพิธิฌาปนกิจศพนั้น
เราเห็นแต่เพียงชายรูปร่างผอมบางคนหนึ่งซึ่งต่างจากสมัยที่ยังแข็งแรงและรูปหล่อสำหรับลูก
กำลังนอนหลับสบาย ใบหน้านั้นปราศจากความทุกข์และกังวลใดๆ
เรามองใบหน้านั้นเพราะอยากจะจดจำไว้ให้นานๆ และพยายามกลั้นน้ำตาไว้เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เห็นดวงหน้านี้อีกแล้วในชีวิตของเราที่เหลืออยู่......
เรากลับมาสมุยอีกครั้งหลังจากงานศพพ่อ พร้อมกับคิดตัดสินใจอะไรบางอย่าง เพราะแม่เองผลจากการตรากตรำดูแลพ่อมาเป็นเวลานาน
ตัวท่านเองก็สะสมโรคไว้หลายอย่างทั้งเบาหวาน ความดัน และปวดขา ซึ่งเราเองไม่สามารถที่จะนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป
หลังจากที่ปรึกษากับผู้ชายที่คอยอยู่ข้างกายตลอดมาว่าเราอยากจะกลับไปบ้านเกิดแล้วนั้น สร้างความดีใจให้กับทั้งสองครอบครัวเป็นอย่างมาก
ทุกคนให้การสนับสนุนเต็มที่และหาช่องทางในการประกอบอาชีพให้เราสองคน
ภาพของเกาะสมุยค่อยๆจางและเลือนหายไปในที่สุด นั้นหมายถึงเรือเฟอรี่ใกล้ถึงฝั่งดอนสักแล้ว
เรือกำลังเทียบฝั่ง รถค่อยๆเคลื่อนตัวจากเรือเฟอรี่ขึ้นไปบนแผ่นดินใหญ่ ลาก่อน..เกาะสมุยที่รักและทุกมิตรภาพที่งดงามที่เกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้
ขอบคุณที่ให้ที่พักพิงตลอดห้าปีที่ผ่านมา ถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาเยือนเจ้าอีกครั้งแน่นอน..เราสัญญา
9 มกราคม 2555 เราเดินทางถึงบ้านเกิดโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณทุกๆ ความห่วงใย และมิตรภาพตามรายทาง
ทุกๆกำลังใจ คือแรงผลักดันให้เราต่อสู้ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราจะสู้และไม่ท้อ ถึงจะอย่างไรเราก็มีความรักและกำลังใจจากคนในครอบครัว
ทั้งสองครอบครัวให้การสนับสนุนทั้งกำลังใจ และทุนในการก่อร่างสร้างตัว นี่คือความอบอุ่นใจและความสุขอย่างแท้จริง
และเราเชื่อว่า พ่อคงดีใจกับการตัดสินใจของเรา.......
ความฝันของเราที่มีมานานก็คือ มีร้านอินเตอร์เน็ตเล็กๆ ให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนได้มาค้นคว้าหาข้อมูล
อาจจะแบ่งมุมเล็กๆเป็นร้านกาแฟ มีหนังสือให้ลูกค้าอ่านด้วย เพราะเรามีหนังสือหลายประเภทที่สะสมไว้
และเพราะเป็นคนชอบอ่านหนังสือนี่ล่ะ ที่ทำให้ชีวิตที่อ้างว้างบนเกาะสมุยไม่ได้เงียบเหงาจนเกินไป
ประกอบกับความฝันของผู้ชายคนหนึ่ง ที่อยากมีร้านเล็กๆ ขายอุปกรณ์และรับซ่อมคอมพิวเตอร์ พอเอาความฝันของคนสองคนมารวมกัน
กลายเป็นฝันเล็กๆ ของคนสองคน ที่ต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อให้ความฝันเป็นจริงในสักวัน....
จากการช่วยเหลือของพี่สาวและญาติๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่ประตูน้ำขอนแก่น
ทำให้เราได้เป็นแม่ค้าเสื้อผ้าไปโดยปริยาย เป็นอะไรที่ท้าทายอีกครั้งหนึ่งว่าเราจะทำได้หรือเปล่า
กำลังใจเปี่ยมล้นจากสองบุคคลที่เคารพรักช่วยกันเจิมป้ายร้านเพื่อความเป็นศิริมงคล
จากพนักงานบริษัท นั่งทำงานในห้องแอร์ ต้องมาเป็นแม่ค้าหน้าดำตามตลาดนัด มีเรื่องเปิ่นๆ ขำๆ ได้ตลอด
ทนร้อน ทนแดด ทนเหนื่อยสารพัด แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คือ ความสุขลึกๆในหัวใจที่เราไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร
ไม่ต้องเข้างาน-เลิกงานเป็นเวลา ไม่มีบอสและลูกค้าโทรจิก และความสุขนั้นก็คือการที่เราไม่ต้องพลัดถิ่นไปไกลเช่นเคย
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่เป็นที่เป็นทาง แต่ทุกๆหลักกิโลเมตรที่เดินทางรอนแรมไปยังจังหวัดต่างๆของภาคอิสาน
มันคือความอบอุ่นในหัวใจว่า นี่ล่ะ คืออาณาจักรของเราอย่างแท้จริง.....
จากความหวั่นใจว่าพวกเราจะนำครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักก้าวผ่านช่วงเวลาของชีวิตที่ไม่มีเงินเดือนรองรับไปได้หรือเปล่า
มาถึงวันนี้ คำตอบที่ได้ก็คือ เราสามารถมีรายได้ที่พอจะดูแลคนทั้งสองครอบครัวและมีทุนต่อยอดความฝันในอนาคตได้
โดยที่ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร...
ถึงแม้วันนี้ ความฝันเล็กๆของเรายังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่มันก็คงเป็นจริงได้ในอีกไม่นาน และร้านคอมพิวเตอร์เล็กๆนั้น
คงต้องแบ่งพื้นที่บางส่วนสำหรับเป็นห้องเสื้อด้วยกระมัง......
ขอเป็นกำลังใจให้แก่ทุกหัวใจที่ไกลบ้าน สำหรับหลายๆคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิต และยังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะอยู่เป็นลูกน้องต่อไป หรือเริ่มต้นใหม่เพื่อเป็นนายตัวเองดี
อยากจะบอกเหลือเกินว่า ดินแดนอิสานแห่งนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เราสามารถประกอบอาชีพอิสระได้มากมายหลายอย่าง ตามแต่กำลังความสามารถของเราเอง
และที่แน่นอนที่สุดก็คือความรัก และกำลังใจจากคนในครอบครัวของเรา บุคคลอันเป็นที่รักที่รอคอยการกลับมาของลูกอิสานพลัดถิ่นทุกคน
ขอบคุณพื้นที่แห่งการแบ่งปันเรื่องราวจากเว็บบ้านมหาดอทคอม
บทสุดท้าย กรุณาอ่านเป็นภาษาอิสานด้วยค่ะ
ขออภัยไปยังอ้ายบ่าวคนเดิม แฟนรายการ แฟนเพลงทุกท่าน ที่บกพร่องต่อหน้าที่บ่ได้มอบความม่วนซื่นให้พี่น้องมาดนเติบแล้ว
มื้อได๋ที่อิหยังเข้าที่เข้าทางแล้ว และมีสัญญาณเน็ตเป็นของเจ้าของ ขามป้อมกะสิกลับมามอบความม่วนซื่นให้พี่น้องคือเก่าจ้า
ขอบคุณไปยังดีเจป้านวลม่วนโสตายหลายๆเด้อจ้า ที่ซ่อยจัดรายการแทนน้องใภ้ตลอดมา และกะฝากจัดอีกต่อไปจักสี่ซ้าห้าเดือนแหน่เด้อจ้า แหะๆ
ขอบคุณไปยังทุกความรัก ความห่วงใย และกำลังใจจากเอื้อยอ้าย หมู่พวกจากเว็บบ้านมหาดอทคอมแห่งนี้จ้า
Bookmarks