ช่วงแรกของการแต่งงาน ผมมีชีวิตครอบครัวที่ยังไม่สมบูรณ์ เรียกได้ว่ายังไม่ลงตัว เพราะผมรับราชการที่เมืองกาญจนบุรี ส่วนภรรยารับราชการที่กรุงเทพฯ อาศัยบ้านเช่าเล็ก ๆ แถว ๆ สามแยกไฟฉาย เป็นที่หลับนอน ส่วนผมจะเดินทางมาในช่วงเย็นวันศุกร์
เสาร์-อาทิตย์ เปิดพัดลมนอนเล่นในห้อง เหงื่อไหลไคลย้อย บางวันก็มานั่งเล่นแถว ๆ สนามหลวง ซื้ออะไรนั่งกินกัน และกลับไปนอน ตอนเช้าตรู่ของวันจันทร์ ประมาณตี 3 ผมก็ตื่น เพื่อเดินไปขึ้นรถเมล์ไปสายใต้ใหม่ (ตลิ่งชัน)
มองไม่เห็นช่องทางว่าเราจะได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันอย่างไร เพราะเป็นห่วงเธอเหลือเกิน เธอกำลังตั้งครรภ์และก็ใกล้จะคลอดแล้ว ขึ้นลงบันไดเพื่อที่จะเข้าห้องน้ำด้านล่างบ้านเช่า ก็เป็นห่วง คิดไปต่าง ๆ นานา
ช่วงนั้นรัฐบาลมีโครงการเผยแพร่ประชาธิปไตยมีฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครองท้องถิ่น ประสานร่วมมือกัน เรียกว่า 4 ทหารเสือ ผมได้คัดเลือกให้ลงประจำพื้นที่ ต.กระเสียว อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสแว้บเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่ กทม.
ทุก ๆ วันผมจะพูดกับลูกในท้องเธอ และคลำดูลูกเลื่อนขึ้นเลื่อนลงในท้องของเธอ ซึ่งทางโรงพยาบาลศิริราชได้กำหนดวันคลอดให้เธอว่า ไม่น่าจะเกินวันที่ 23 - 25 ก.พ.35ใกล้วันคลอด พ่อตาของผมก็เดินทางจาก จ.ชัยภูมิ มาเยี่ยมเธอที่ห้องเช่าแคบ ๆ และเดินทางกลับ
พี่สาวของผมเดินทางมาจากจังหวัดชัยภูมิ เห็นสภาพบ้านเช่าแล้ว พี่สาวบอกว่าให้เธอเดินทางกลับบ้านเราจะดีกว่า ญาติพี่น้องจะได้ดูแล
พวกเราเดินทางกลับชัยภูมิด้วยรถโดยสารปรับอากาศ กรุงเทพฯ - ชัยภูมิ ก่อนวันคลอดประมาณ 2 วัน จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันที่ 24 มกราคม 2535 เวลาประมาณ ตี 1 กว่า ๆ เธอบอกกับผมว่าเธอรู้สึกปวดท้อง ปวดหาย ๆ สลับกันไป และปวดถี่ขึ้น ๆ ๆ ในช่วงใกล้รุ่ง แน่นอนเธอกำลังจะคลอด ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก คว้ายาดมมาสูดดมเป็นการใหญ่ เพราะรู้สึกว่าจะเป็นลม แม่ยายไปหารถเพื่อพาเธอส่งโรงพยาบาล โดยมีญาติพี่น้องเตรียมตัวไปด้วยหลายคน นี่คือความอบอุ่นที่สัมผัสได้ที่บ้านเรา
รถปิคอัพในหมู่บ้านพาเธอไปถึงโรงพยาบาลหนองบัวแดง พยาบาลพาเข้าห้องทำคลอดทันที สักพักผมเห็นพยาบาลวิ่งออกมาเอาถังอ๊อกซิเจน เข้าไปในห้องของเธอ...ผมถามว่าภรรยาผมเป็นไงบ้างครับคุณหมอ......เธอบอกว่า เดี๋ยว ๆ ๆ เรากำลังช่วยเหลือกันอยู่....เหงื่อผมแตกพลั๊ก ๆ ....รำพึงอยู่ในใจ "เมียตรูจะตายหรือเปล่าวะเนี่ย"
ทั้งหมอทั้งพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออก "เมียผมเป็นไงบ้างครับ"...พยาบาลคนหนึ่งบอกว่า "เด็กไม่ยอมเอาหัวออกค่ะ" ... " อ้าว...ผมเคยเห็นวัวควายที่เอาขาออก ถ้าลูกผมเอาขาออกแสดงว่ามันคงไม่ใช่คน...
"เด็กแหงนหน้าออกค่ะ" ....เสียงภรรยาร้องด้วยความเจ็บปวด เป็นระยะ ๆ ...ญาติพี่น้องพากันลุ้นกันใหญ่
สักพักผมได้ยินเสียงเด็กร้อง "อุแว๊ ๆ ๆ ๆ ๆ" ทุกคนดีใจพูดเป็นเสียงเดียวกัน "ออกแล้ว ๆ ๆ ๆ ๆ"
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของผม "ลูกรอดแม่จะรอดหรือเปล่าน้อ ? และลูกจะออกมาอาการครบ 32 หรือเปล่าน้อ ?"
"ยินดีด้วยค่ะได้ลูกชาย ลูกปลอดภัยแม่ปลอดภัยค่ะ" พ่อตาผมยื่นมือมาจับมือผม "ยินดีด้วยลูก ฝีมือ ๆ ทีนี้ล่ะมีคนบวชให้พ่อแล้ว" เพราะท่านมีลูกสาว 2 คน ไม่มีลูกชาย
พยาบาลนำลูกชายผมไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ล้วงปาก ทำความสะอาดร่างกาย รวบขาทั้งสองข้างยกขึ้นเอาหัวลง และตบที่ก้น ..."โอ๊ะ ๆ ๆ ๆ เบา ๆ ๆ หมอ ๆ ๆ ๆ" ผมร้องตะโกนด้วยความตกใจเพราะกลัวลูกผมหลุดมือคอหัก
อาบน้ำปะแป้งเสร็จ รู้สึกว่าลูกชายผมจะตัวโตขึ้นกว่าเดิม เรียกว่า "พองลม" น้ำหนัก 3 กิโลกรัมกับอีก 7 ขีด พยาบาลเอาผ้าอ้อมห่อขมวดหัวท้าย และยื่นมาให้ผมอุ้ม ผมดีใจมากที่ได้อุ้มลูกชายเป็นคนแรก....ผมเป็นพ่อคนแล้ว....กรี๊ดดดดดดดดด
(รับรองสำเนาถูกต้อง)
จากวันนั้นถึงวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้ว ผมยังมีความรู้สึกว่า วันเวลาเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ยังรักและห่วงใยลูกชายคนนี้เสมอครับ
Bookmarks