เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสลากลับบ้านไปเยี่ยมแม่ เผอิญมีเพื่อนบ้านมายืมของเพื่อนำไปเตรียมงานแต่งงานลูกสาวในตอนเย็น ก็เลยถือโอกาสเชิญผมไปร่วมงาน
สมัยเป็นหนุ่ม ๆ ทุกครั้งที่ผมออกจากบ้าน ผมไม่ลืมที่จะพกอาวุธประจำกายไปด้วย อาวุธประจำกายในที่นี้คงไม่ได้หมายถึง "ช้อน" เหมือนที่ทหารเกณฑ์เรียกกัน
เพราะสมัยก่อน (หรือสมัยนี้ก็ตามที) การยกพวกตีกันของแต่ละหมู่บ้านมักจะเป็นตำนานเล่าขานกันมา บ้านนั้นเป็นศัตรูกับบ้านนี้กลายเป็นมรดกตกทอด เหมือนการเขม่นกันของแต่ละสถาบันตามที่พวกเราเห็นข่าวกันไม่เว้นแต่ละวัน เรียกว่าจัดงานทีสร้างความหนักใจแก่เจ้าภาพและคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นยิ่งนัก ต้องเตรียมรถปิคอัพและทางหนีทีไล่ไว้ เพราะต้องมีการตีรันฟันแทงกันแน่ ๆ และยิ่งสมัยก่อนถนนหนทางลำบาก อนามัยก็อยู่ไกล
กาลเวลาเปลี่ยนไปจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ มีพฤติกรรมที่รุนแรงกว่ารุ่นก่อนเยอะ เห็นแล้วตกใจไม่ว่าจะยิงกันบนรถเมล์ ตามเวทีหมอลำซิ่ง แม้แต่งานฉลองพัดยศพระสงฆ์ที่ถือว่าเป็นงานมงคล ที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ไปร่วมงาน ก็ยังไม่เว้น
ผมไปร่วมงานแต่ง และได้นั่งอยู่โต๊ะริมสุด กวาดสายตาไปรอบ ๆ งานแต่ง พบเจอกับญาติสนิทมิตรสหายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุณครูที่เคยสอนตั้งแต่ชั้นประถมและมัธยม เพื่อนและน้อง ๆ ที่เคยเรียนด้วยกัน
ส่วนรุ่นหลัง ๆ ไม่คุ้นหน้าสักคน ลูกหลานทุกวันนี้หน้าตาหล่อ ๆ สวย ๆ ทั้งนั้น หน้าตาทันสมัยไม่เหมือนคนบ้านเรา นอกจากจะสอบถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่ากอของใคร บางคนเรียกลุง บางคนเรียกพ่อ บางคนเรียกพ่อใหญ่ ...โอ้ว..เรียกพี่ได้ไหม ....:l-
เพื่อน ๆ และน้อง ๆ รุ่นหลัง ๆ รวมถึงรุ่นหลาน ๆ มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็น อบต.หลายคน ทุกคนเดินมาทักทายยกมือไหว้ผม บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข
บางคนถึงกับร้องไห้เมื่อพูดถึงเมื่อครั้งที่เราเป็นเด็กไปยิงกะปอมด้วยกัน ไม่คิดว่าวันเวลาจะผ่านมาเร็วเกินไป ...เร็วจนน่าใจหาย
ผมเดินทักทายท่านแขกผู้มีเกิบ (มีเกียรติ) แทบทุกโต๊ะ ทักทายผู้เฒ่าผู้แก่ และที่ขาดไม่ได้คือกลุ่มอดีตนักเลงในหมู่บ้าน และพวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งหลาย ซึ่ง ณ เวลานี้ได้กลายเป็นแมวโดยสิ้นเชิง เพราะต่างก็มีครอบครัว มีลูกเขย ลูกสะใภ้กันหมดแล้ว
โต๊ะท่านแขกผู้มีเกิบก็จะพูดเรื่องงานเรื่องขั้น เรื่องตำแหน่ง ซึ่งฟัง ๆ ไปผมเริ่มมึนและไม่เข้าใจ เพราะท่านทั้งหลายพูดภาษากลางคำ ภาษาอีสานคำ มิหนำซ้ำแถมภาษาประกิตแทรกมาอีกต่างหาก ผมไม่ได้เมา แต่ทำไมผมรู้สึกอยากจะอ้วกอย่างแรง
กับกลุ่มพวกแมวทั้งหลาย (นักเลงเก่า) บทสนทนาก็ไปในแนวสอบถามถึงเรื่องครอบครัว การทำมาหากิน เล่าถึงความหลัง รวมถึงการอัพเดทข้อมูลใหม่ ๆ โดยไม่ลืมที่จะทักทายภรรยาของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รวมถึงลูก ๆ ของเขา (ถ้ามี) กลุ่มท่านแขกผู้มีเกิบให้เพื่อนไปเรียกผมกลับโต๊ะและกระซิบผม "มรึงรู้จักพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ อย่าไปยุ่งกับมัน"......แต่ผมไม่กลับ
ผมถือแก้วเดินไปยังกลุ่มวัยรุ่นลูกหลาน โดยมีกำนันและผู้ใหญ่บ้านรวมถึง อบต.แนะนำให้รู้จักกับผม เพราะกลัวว่าเขาจะไม่รู้จักผมและจะทุบตีผม ทุกคนยกมือไหว้และหยิ้มแหย ๆ บอกว่าไม่เคยเห็นหน้าผม และไม่รู้จัก .... กำนันผู้ใหญ่บ้านบอกว่า..."อืม..ไม่รู้จักน่ะดีแล้ว...ถ้ารู้จักพวกมรึงจะหนาว...."(เพราะแต่ก่อนอยู่โรงน้ำแข็ง)
จากที่นั่งโต๊ะริมสุด ผมขยับไปด้านหน้าเวที และตอนสุดท้ายขึ้นไปบนเวทีได้ไงผมไม่ทราบ....
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ....พวกเราจากกันด้วยการยกมือไหว้กันตามลำดับอาวุโส (ของอายุ)...สวัสดีครับ ธุจ้า
Bookmarks