พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...

จิตของคนเรานั้นเหมือนกับลิง

เราจึงเรียนรู้เรื่องของจิตใจของเราได้มากมายจากพฤติกรรมของลิง

ลิงนั้นเกลียดกะปิ ถ้ากะปิถูกมือมันเมื่อใด

มันจะถูนิ้วกับพื้นจนเลือดไหลเต็มมือจนกว่ากลิ่นกะปิจะหายในที่สุด

จนกลายเป็นว่า “กะปิ” ถึงจะร้าย ก็ไม่ร้ายเท่า

“ความเกลียดกะปิ”

ที่มือลิงเป็นแผลเหวอะหวะไม่ใช่เพราะกะปิ

หากเป็นเพราะความจงเกลียดจงชังกะปิต่างหาก

สิ่งที่เราเกลียดนั้น

บ่อยครั้งไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดชังในจิตใจเรา

ความเกลียดชัง หรือพูดให้ถูกก็คือความรู้สึกอยากผลักไส

ซึ่งรวมทั้งความโกรธและความกลัว

แต่นั่นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความจริงเท่านั้น

นอกจากความอยากผลักไสแล้ว

ความยึดติดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังไม่แพ้กัน
กลับมาที่ลิงจอมซนอีกที

ในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน

เพราะชอบขโมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง

โดยใช้กล่องไม้ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ

พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้

ในกล่องมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิงวางไว้เป็นเหยื่อล่อ

วันดีคืนดี ลิงมาที่สวน

เห็นถั่วอยู่ในกล่อง ก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว

แต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่อง

เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้

ลิงพยายามดึงมือเท่าไรก็ไม่ออก

พอชาวบ้านมาจับ ก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้

เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว

สุดท้ายก็ถูกคนจับได้

ลิงหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น

มันก็เอาตัวรอดได้

แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

จึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก

มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราใฝ่ฝันอยากได้

จนถึงกับยึดไว้อย่างเหนียวแน่น

เวลาประสบปัญหา

เพียงแค่คลายสิ่งที่ติดยึดนั้นเสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย

แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย

จึงเกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย..ไม่คุ้มกับสิ่งที่ติดยึด

ปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น

ถ้าเรารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง

มันก็จะบรรเทาไปได้เยอะ

บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น

หากแต่เป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียว

ความจริงการอยากผลักไสอะไรสักอย่าง

ก็เป็นการติดยึดอีกแบบหนึ่ง

ทั้งๆ ที่ลิงพยายามถูกำจัดกลิ่นกะปิไปจากมือ

ก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือมาดมหากลิ่นกะปิซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในหลายๆกรณี ความทุกข์ไม่ได้มาจากไหน

หากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อย

ดั่งเจ้าลิงหวงถั่ว.