ความสัมพันธ์ระหว่าง
การหายใจ กับ จังหวะก้าว

โดย กฤตย์ ทองคง
ถ้าเราคิดจะทำอะไรสักอย่างให้ได้ดี คงจะต้องหาความรู้ในสิ่งที่เริ่ม จากนั้นจึงค่อยมาหาความชำนาญ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ทันชาวบ้านเขา
ถ้ารู้แต่ปราศจากชำนาญและชำนาญโดยปราศจากความรู้ เราก็จะเอาดีเรื่องนั้นได้ยาก เพราะอย่างนี้เอง เราจึงได้ยินคำว่า “ความรู้และความชำนาญ” คู่กันเสมอมา
พวกเราเป็นนักวิ่ง ควรอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้เรื่องวิ่งให้มาก ไม่ว่าเพื่อจะเป็นแชมป์ หรือเพื่อสุขภาพหรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่
ถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องที่พวกนักวิ่งจะใส่ใจแล้ว ยังจะมีพวกไหนอีกเล่าครับ
โดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ใหญ่ทั้งหลาย ในเรื่องการวิ่ง พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการหายใจกับอัตราการก้าวขาอยู่บางประการอย่างชัดเจน และคนเราก็ไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้นเหล่านั้นเลย แม้ว่าในการออกวิ่งแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะซ้อมหรือแข่งที่เราเพียงแต่ถลันตัวออกไปข้างหน้า โดยเอาขาขาใดข้างหนึ่งไปรองรับน้ำหนักของร่างกายก่อนอีกข้างหนึ่งและสลับกันตลอดไป แล้วผู้วิ่งก็ปล่อยให้กระบวนการเหล่านั้น ไหลเรื่อยไปตามธรรมชาติ โดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมันอีก
แต่ในท่ามกลางความลื่นไหล เป็นธรรมชาติของกระบวนการวิ่งที่ผู้วิ่งไม่รู้ตัวนั้น ถ้าเพียงแต่มีใครส่องกล้องพินิจดูกระบวนการธรรมชาตินี้ ก็จะเห็นอะไรบางอย่างที่มีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน และถ้าผู้วิ่งสามารถจัดการกับความสัมพันธ์เหล่านี้ให้สอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติและความแข็งแกร่งของตัวเองได้เมื่อไร ก็จะเท่ากับเป็นการปรับปรุงพัฒนาความเร็ว(การวิ่ง)ได้นั่นเอง
จากการวิจัยที่นานหลายปีในหมู่นักกีฬาโอลิมปิคของโค้ชและนักสรีระวิทยาการออกกำลังกาย Jack Daniels Phd. ที่ระบุว่าอัตราการก้าวขาของนักวิ่งปกติจะอยู่ในราว 180-200 ก้าวต่อนาที (นับการก้าวเท้าซ้ายและก้าวเท้าขวารวมกันเป็น 1 ก้าว)
อัตรา 180-200 นี้ เป็นอัตราที่เกิดในผู้คนปกติที่มีประสิทธิภาพวิ่งดี ไม่ใช่คนพิการหรือคนยกเว้น และเป็นการก้าวเท้า ณ จุดที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ที่ไม่ใช่เป็นการสปริ้นท์แข่งขันระยะสั้น ดังนั้นอัตราการก้าวเท้าที่กล่าวในวิจัยนี้จึงใกล้เคียงกับธรรมชาติของนักวิ่งระยะไกลมากที่สุด
และการวิจัยของ ดร.แดเนี่ยล พบว่า ในธรรมชาติขณะวิ่งนั้น คนเราจะหายใจเมื่อ เท้าข้างหนึ่งข้างใดกระทบพื้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหายใจเข้าหรือออก แต่ไม่ใช่หายใจขณะกำลังลอยอยู่ในอากาศ นี่เป็นสิ่งที่พวกนักวิ่งมิได้สังเกตกัน
ดังนั้นเราจึงสามารถทำนายความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ของการหายใจกับการถี่ของก้าวที่กระทบพื้นได้ และผลของมันที่จะนำไปสู่การพัฒนาฝีเท้าได้
ดร.แดเนี่ยล กล่าวว่า ในบรรดานักวิ่งแนวหน้าจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวนมากของการวิจัยของเขานั้น ล้วนมีการหายใจเป็นรูปแบบ 2 จังหวะ (Two-Two breathing pattern) กล่าวคือ พวกนักวิ่งที่มีประสิทธิภาพมักจะหายใจเข้าไป 1 ครั้ง ในการก้าวไป 2 ก้าว และหายใจออก 1 ครั้งในการก้าวไปอีก 2 ก้าว หรือเพื่อให้ชัดเจน ต้องกล่าวว่าพวกเขาก้าวไป 4 ก้าวในการครบกระบวนหายใจ 1 ครั้ง (เข้า+ออก)
และถ้าเมื่อกล่าวอย่างสัมพันธ์กับการก้าวขาที่ว่าราว 180-200 ก้าวต่อนาทีนั้น เราจะพบว่า นักวิ่งนั้นมีการหายใจราว 45-50 ครั้งต่อหนึ่งนาทีนั่นเอง
จากนั้น ดร.แดเนี่ยลยังพาเราเข้าเรื่องต่อไปว่า ถ้านักวิ่งผู้ใดหายใจได้น้อยครั้งกว่านี้ ก็จะจัดอยู่ใน 2 จำพวก
จำพวกแรก คือนักวิ่งจะวิ่งช้าเกินไป (ช้าเกินระดับของตัวเองที่ทำได้) และ
จำพวกที่สอง คือนักวิ่งที่เมื่อวิ่งจะได้ออกซิเจนจากอากาศเข้าไปไม่พอเพียง คือเหนื่อยเกินไป ซึ่งโดยธรรมชาตินักวิ่งจะถูกบังคับโดยอัตโนมัติให้เพิ่มอัตราการหายใจเข้าไปอีกในทางกลับกัน ดร.แดเนี่ยลกล่าวว่าถ้าผู้ใดหายใจได้มากไปกว่านี้คือมากกว่า 45-50 ครั้งต่อนาทีก็จะจัดอยู่ใน 2จำพวกเช่นกัน
จำพวกแรก แสดงว่า พวกเราวิ่งเกินกว่าระดับของความสามารถตัวเอง และ
จำพวกที่สอง ร่างกายก็จะไปปรับให้หายใจแคบลง คือเข้าน้อยและออกน้อยเพื่อให้สมดุลกับความเป็นธรรมชาติ
ทีนี้ก็มาถึง การเอาความรู้จาก ดร.แดเนี่ยลมาปรับใช้กับตัวเรา คือ เอามาทดสอบดูว่า เราอยู่ในระดับใด โดย วอร์มเสียก่อน คือ วิ่งช้าสัก 20 นาที แล้วจึงวิ่งด้วยเพซ (Pace) ปกติที่เป็นตัวของเราเองมากที่สุด โดยนับจำนวนครั้งของการหายใจใน 1 นาทีว่าเราได้กี่ครั้ง (เข้า+ออก = 1 ครั้ง) และทดสอบอีกอย่างโดยวิ่งไป 1 นาทีนั้น เท้าขวาเรากระทบพื้นกี่ครั้งนั่นเอง แล้วทั้งสองอย่างมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ถ้าเราได้การหายใจที่เท่ากับหรือใกล้เคียง 45-50 ครั้งต่อนาที นั่นแสดงว่า เรามี Pace วิ่งที่เป็นธรรมชาติดีแล้ว เป็นภาวะที่สอดคล้องกับธรรมชาติสูงสุด และควรรักษาสภาวะนี้ตลอดไป ส่วนถ้านักวิ่งใดที่ได้ทดสอบแล้วต่ำกว่าหรือสูงกว่า 45-50 ครั้งต่อนาที แสดงว่าคุณน่าจะอยู่ในกลุ่มนักวิ่งจำนวนพวกที่ยังสามารถปรับปรุงฝีเท้าได้อีก
โดยทำตามกฎธรรมชาติ “รูปแบบ 2 จังหวะ” ดังกล่าวข้างต้น คือ
กลุ่มแรกที่คุณทดสอบแล้วพบว่าก้าวเท้าได้น้อยกว่า 180 ครั้งต่อนาที
ให้ฝึกก้าวเพิ่มขึ้นใน 1 นาทีนั้น จากที่ทำได้ขึ้นมา กลายเป็น 180-190 ครั้งต่อนาที (แน่นอนครับจะต้องพยายามให้เป็นโดยธรรมชาติที่สุดด้วย) โดยก้าวไป 2 ก้าว สำหรับการหายใจ 1 ครั้ง และก้าวไปอีก 2 ก้าว สำหรับการหายใจออกอีก 1 ครั้ง
กลุ่มที่สอง ที่กลับกัน เมื่อคุณทดสอบแล้วพบว่า ได้ก้าวเท้ามากกว่า 200 ครั้งต่อนาที
ซึ่งจัดว่าเกินระดับตัวเองไป ไม่เป็นธรรมชาติ ให้ปรับโดยก้าวใน 1 นาทีให้น้อยก้าวลง ซึ่งในระยะต้นๆ คุณต้องฝึกความเชี่ยวชาญเพื่อปรับลงนี้หลายสัปดาห์อยู่ ต้องอดทนและพยายามฝึกทำให้ต่อเนื่องกันไป อย่าทำๆหยุดๆ ถี่ๆห่างๆ จะไม่ได้ผล และก็ไม่ต้องไปกังวลว่า แต่ละก้าวของขาฉันนั้นเลยกลายเป็นก้าวที่สั้นเกินไป หรือยาวเกินไป เพราะของอย่างนี้จะต้องเกิดทุกคนที่ต้องปรับ จงทำตามคำแนะนำไปสักระยะเดี๋ยวจะค่อยๆเข้าที่เองอย่างไรก็ตาม ดร.แดเนี่ยล ได้ให้หมายเหตุว่า เมื่อมีการวิ่งเร็วในระดับพิเศษกว่าปกติ จึงเป็นความจำเป็นตามธรรมชาติอีกเหมือนกันที่นักวิ่งอาจจะไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้นี้ เช่นในระยะท้ายๆของการแข่งขันวิ่งระยะ 10 ก.ม. ที่เราจะต้องเพิ่มระดับการสปริ้นท์ความเร็ว รูปแบบ 2 จังหวะจะต้องได้รับการละเมิดเป็น 2 ต่อ 1 แทน คือ ก้าวไป 2 ก้าว สำหรับการหายใจเข้า 1 ครั้ง แล้วไปก้าวเพียง 1 ก้าวสำหรับการหายใจออก 1 ครั้ง อย่างนี้ให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับไม่ต้องไปวิตกและไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปแก้ไขอะไรเพราะการสปริ้นท์ไม่ใช่การวิ่งที่เป็นปกติ และยิ่งไม่ต้องไปนับเนื่อง กฎของรูปแบบ 2 จังหวะ กับนักวิ่งระยะสั้นเขาเลย
โดยนัยนี้ การปรับระบบการหายใจที่ให้สอดคล้องกับระยะจำนวนก้าวก็สามารถระบุระดับความเข้มข้นของการฝึกได้ เช่นถ้าคุณวิ่งด้วยรูปแบบ 2จังหวะไปกับการวิ่งเทมโป ก็แสดงว่า คุณกำลังใช้แรงเกินไป และในทางกลับกัน ถ้าคุณวิ่งด้วย รูปแบบ 3 จังหวะ (วิ่งไป 3 ก้าว หายใจเข้า 1 ครั้ง และวิ่งไปอีก 3 ก้าว หายใจออก 1 ครั้ง) สำหรับการลงคอร์ท ก็คือคุณวิ่งช้าเกินไปนั่นเอง
อนึ่ง..มีประเด็นแถมเพิ่มเติมที่เราควรทราบไปด้วยเกี่ยวกับการปรับระบบหายใจนี้ก็คือ มันเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักวิ่ง แก้ไขปัญหาการเสียดท้องขณะวิ่งได้ ที่นักวิ่งจำนวนมากมักเสียดท้องทางขวา นี้เป็นประการที่หนึ่ง และมีนักวิ่งอีกจำนวนมากอีกเช่นกันที่หายใจ (เข้าหรือออก) เมื่อเท้าขวากระทบพื้น “Right-footed breathers” ที่มันจะสัมพันธ์กับลักษณะการถนัดขวาหรือไม่ ยังไม่เป็นที่ระบุแน่ชัด แต่อย่าเพิ่งไปเขวกับมัน นี้เป็นประการที่สอง
ดังนั้นเมื่อเกิดเสียดท้องทางขวาขึ้น ก็ให้ลองปรับการหายใจ (เข้าหรือออก) เมื่อจังหวะที่เท้าซ้ายกระทบพื้นอย่างจงใจ และกลับกันเมื่อเกิดการเสียดท้องทางซ้าย ถ้าทฤษฎีนี้ถูก และถ้าเป็นการเสียดท้องแบบธรรมดาอันเกิดจากการวิ่งมิใช่เจ็บป่วยอื่นใด การเสียดท้องนี้ก็จะหายหรือทุเลาลง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะมีนักวิ่งอยู่จำนวนมากที่ไม่ต้องปรับอะไรเลย เมื่ออ่านเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่อธิบายมา มันเกิดโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว นั่นก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เสมือนกับคุณเป็นนักวิ่งที่มีท่าของการวิ่งเหมาะสมอยู่แล้ว ไม่ต้องปรับอะไรอีก
ความรู้เรื่องจังหวะก้าวนี้ คุณสามารถนำไปใช้ได้กับการวิ่งธรรมดาและแม้กระทั่งการฝึกวิ่งลงคอร์ทด้วยเช่นกัน เพราะการลงคอร์ท ผู้วิ่งจะเปลี่ยนความเร็วโดยเปลี่ยนที่ความยาวของก้าว ไม่ใช่เปลี่ยนอัตราก้าวขาที่สัมพันธ์กับการหายใจ ที่ก้าวด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอาจจะกลายเป็นก้าวต่อการหายใจ 1 ครั้งก็ได้ แต่จะต้องสัมพันธ์กันหมดทุกช่วง ให้สอดรับกันอย่างเป็นจังหวะจะโคน ถ้าไม่ก็จะเกิดการระล่ำระลักหายใจไม่เป็นส่ำ นั่นแสดงว่า คุณกำลังมีอันเป็นไปในไม่ช้า Keep rhythum , more efficient running
ดังนั้น ในท้ายของการแข่งขัน ที่จะต้องเร็วขึ้น ก็ให้คุณปรับก้าวเท้าที่ยาวขึ้น ไม่ใช่ก้าวที่ถี่ขึ้น ซึ่งจะสัมพันธ์กับการหายใจ คุณก็จะไปได้ต่อเนื่องและเร็วขึ้นจนถึงเส้นชัยได้ และยังสามารถปรับใช้ได้กับการวิ่งขึ้นเขาในทำนองเดียวกันอีกด้วยครับ.
ที่มา : เว็ปthairunning.com