กานพลู
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eugenia earyophyllus Bullock ET Harrison
ชื่อท้องถิ่น : จันจี่ (ภาคเหนือ )
ลักษณะของพืช : กานพลูเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบหนาเป็นมัน ถ้าเอาใบส่องแดดจะเห็นจุดน้ำมันอยู่ทั่วไป ออกดอกเป็นช่อขนาดเล็ก ดอกสีแดงอมชมพู เก็บดอกตูมช่วงที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง และตากแดดให้แห้งเก็บไว้ใช้ ปลูกโดยใช้เมล็ด ขึ้นได้ดีในเมืองร้อน ชอบอากาศร้อน และความชื้นสูง
คุณค่าด้านอาหาร : ดอกกานพลูแห้งเป็นเครื่องเทศ ช่วยแต่งกลิ่นอาหาร ประกอบด้วยสารอาหารหลายอย่าง และมีแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสมาก ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ดอกกานพลูแห้งที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก และมีกลิ่นหอมจัด
รสและสรรพคุณยาไทย : รสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ช่วยขับลม
ประโยชน์ทางยา : ดอกแห้งมีน้ำมันหอมระเหยมาก รสเผ็ด ช่วยขับลม แก้อาหารท้องอืด ท้องเฟื้อและแน่นจุกเสียด โดยใช้ดอกแห้ง 5-8 ดอก (0.12-0.6 กรัม ) ต้มหรือบดเป็นผง ชงทานกับน้ำสุก และดอกกานพลูยังช่วยป้องกันไม่ให้เด็กอ่อนท้องขึ้น ท้องเฟื้อได้ โดยใช้ดอกแห้ง 1-3 ดอก แช่ไว้ในกระติกน้ำร้อนที่ใช้ชงนมให้เด็กอ่อน
กระเพรา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum sanctum Linn.
ชื่อท้องถิ่น : กะเพราขาว กะเพราแดง (กลาง) กอมก้อ (เหนือ)
ลักษณะของพืช : เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก โคนต้นที่แก่เป็นไม้เนื้อแข็ง ยอดเป็นไม้เนื้ออ่อน ลำต้นและใบมีขนอ่อน ใบมีกลิ่นหอมฉุน รูปร่างรี ปลายใบและโคนใบแหลมหรือมนเล็กน้อย ขอบใบหยัก ดอกออกเป็นช่อ ดอกย่อยออกรอบแกนกลางเป็นชั้นๆ กะเพราปลูกเป็นผักสวนครัวอยู่ทั่วไป มีกะเพราขาวและกะเพราแดง กะเพราขาวมีส่วนต่าง ๆ เป็นสีเขียว ส่วนกะเพราแดงจะมีส่วนต่าง ๆ เป็นสีเขียวอมม่วงแดง ปลูกโดยใช้กิ่งชำหรือใช้เมล็ด ปลูกได้ทั่วไป
คุณค่าด้านอาหาร : กะเพราแดงเป็นผักที่มีวิตามินเอ และฟอสฟอรัสค่อนข้างมาก ใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหาร ทำให้ร้อนและขับลมได้ดี ใบกะเพราใช้ใส่แกงป่า ผัดเผ็ดใส่ใบกะเพรา ผัดเผ็ดนก ผัดขี้เมา และนำไปแต่งสีและกลิ่นอาหารให้ชวนทานได้อีกด้วย
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ใบแห้งหรือสด
รสและสรรพคุณยาไทย : รสเผ็ดร้อน เป็นยาตั้งธาตุ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น จุกเสียดในท้อง ใช้แต่งกลิ่นแต่งรสได้
ประโยชน์ทางยา : ใบกะเพรา มีน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) เป็นจำนวนมาก ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟื้อ แน่นจุกเสียดและปวดท้อง โดยใช้ใบและยอดกะเพรา 1 กำมือ (ถ้าสดหนัก 25 กรัม แห้งหนัก 4 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่ม เหมาะสำหรับเด็กท้องอืด หรือนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ท้องอืดได้ จำนวนยาจะใช้วิธีเดียวกันนี้ ใช้แก้อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากธาตุไม่ปกติได้
กล้วยน้ำว้า
ชื่อวิทยาศาสตร์ Musa sapientum Linn
ชื่อท้องถิ่น กล้วย
ลักษณะพืช พืชล้มลุก ลำต้นสูง ลำต้นที่อยู่เหนือดิน รูปร่างกลม มีกาบใบหุ้มซ้อนกัน ใบสีเขียวขนาดใหญ่ ก้านใบยาวยาว เห็นได้ชัดเจน ดอกที่ปลายเป็นช่อ ลักษณะห้อยหัวลงยาว 1-2 ศอก เรียกว่า ปลี มีดอกย่อยออกเป็นแผง ผลจะติดกันเป็นแผง เรียกว่า หวี ซ้อนกันหลายหวี เรียกว่า เครือ ใช้หน่อปลูก ปลูกได้ทั่วไป
คุณค่าด้านอาหาร กล้วย เป็นพืชที่มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมาก ตั้งแต่ใบกล้วย ที่เรียกว่าใบตองใช้ห่อขนม ต้นกล้วยใช้เลี้ยงหมู ไส้ในต้นกล้วย ที่ยังไม่ออกเครือ ใช้ทำอาหารได้ เช่น แกงกับกะทิ กินสด หรือแกล้มกับขนมจีนน้ำยา หัวปลีใช้แกงเลียง ภาคใต้ นิยมเอาหัวปลีมาเผาให้สตรีหลังคลอดบุตร ทาน บำรุงน้ำนม ลูกห่าม และลูกสุกของกล้วย เป็นผลไม้ที่มีแร่ธาตุเหล็กมาก มีทานกันตลอดทั้งปี กล้วยสุกทุกชนิด มีประกอยด้วยสารอาหารครบครัน คือ น้ำ แป้ง โปรตีน ไขมัน เส้นใย เกลือแร่ต่างๆ ( โดยเฉพาะในกล้วยหอม มีแคลเซี่ยม เหล็ก และโปรแตสเซี่ยมมาก ) วิตามินและอื่นๆ มีการนำเอากล้วย มาดัดแปลงทำอาหารได้หลายรูปแบบ คือ กล้วยเชื่อม กล้วยฉาบ กล้วยปิ้ง กล้วยตากอบน้ำผึ้ง กล้วยกวน กล้วยทอด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น และหากทานกล้วยน้ำว้าสุกเป็นประจำ ยังช่วยระบบขับถ่ายให้ปกติอีกด้วย
ส่วนที่ใช้เป็นยา ลูกดิบ หรือลูกห่าม
รสและสรรพคุณยาไทย ลูกดิบรสฝาด ฤทธิ์ฝาดสมาน
ประโยชน์ทางยา กล้วยดิบมีสาร แทนนิน ( Tannin ) เพ็กติน (pectin ) แป้งและอื่นๆ สารเหล่านี้ มีฤทธิ์ช่วยฝาดสมาน รักษาอาการท้องเดิน ใช้กล้วยน้ำว้าห่าม รับประทานครั้งละครึ่งผล หรือใช้กล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นตากแดดให้แห้ง ชงน้ำทานครั้งละครึ่งผล หรือบดเป็นผงปั้นเป็นยาลูกกลอนก็ได้ ทานแล้วอาจจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ป้องกันได้โดยทานร่วมกันกับยาขับลมเช่นน้ำขิง พริกไทย เป็นต้น
กระเจี๊ยบแดง
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Hibicus sabdariffa Linn.
ชื่อท้องถิ่น : กระเจี๊ยบ, กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง ) ผักเก็งเค็ม, ส้มเก็งเค็ม (ภาคเหนือ ) ส้มตะ , แลงแครง ( ตาก ) ส้มปู ( เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) กระเจี๊ยบเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงราว 3-6 ศอก ก้านสีม่วงแดงใบมีหลายแบบขอบใบเรียง บางครั้งมีหยักเว้า 3 หยัก ดอกสีชมพูตรงกลางจะมีสีเข้มกว่าส่วนนอกของกลีบ เมื่อกลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอก และกลีบเลี้ยงจะเจริญขึ้น มีสีม่วงเข้มหุ้มเมล็ดไว้ภายใน ใช้เมล็ดปลูกปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
คุณค่าด้านอาหาร : กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง รสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำเติมน้ำตาลดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนม เยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบใช้เป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกว่า ?ส้มพอเหมา ? ในใบมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วยกลีบเลี้ยงดอกและกลีบดอก มีสารแคลเซี่ยม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ส่วนที่ใช้เป็นยา : กลีบเลี้ยง และกลีบรองดอก
รสและสรรพคุณยาไทย : กลีบรองดอก กลีบเลี้ยง และใบ มีรสเปรี้ยว ใช้เป็นยากัดเสมหะ
ประโยชน์ทางยา : กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงมีสารชื่อ แอนโธไซนานิน ( Anthocyanin) จึงทำให้มีสีม่วงแดง มีรสเปรี้ยวเพราะประกอบด้วยกรดอินทรีย์ ( พวก Fatty acid ) ทานน้ำต้มกระเจี๊ยบแดง ทำให้ ปัสสาวะเป็นกรด ใช้เป็นยาแก้ขับเบา ช่วยขับปัสสาวะ โดยนำเอากลีบเลี้ยงและกลีบรองดอกตากแห้ง บดเป็นผงครั้งละ 1 ช้อนชา
Bookmarks