ทึ่ง! พระธุดงค์ สายเลือดมาเลเซีย 'ชาคิโนภิกขุ'ศรัทธาพระธุดงค์-ศาสนาและเมืองไทยสุดซึ้งกับมูลนิธิธัมมคีรีช่วยเด็กดอยที่แม่ฮ่องสอน
ทึ่ง! พระธุดงค์ สายเลือดมาเลเซีย 'ชาคิโนภิกขุ'ศรัทธาพระธุดงค์-ศาสนาและเมืองไทยสุดซึ้งกับมูลนิธิธัมมคีรีช่วยเด็กดอยที่แม่ฮ่องสอน
ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- อาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2556 00:00:08 น.
คนเดินทาง/รายงาน
"เมืองไทยเป็น เมืองพุทธ" คำๆ นี้ หรือวลีนี้ยังคงความศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์ขลัง ที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู้ ความเป็นมหาอำนาจทางพระพุทธศาสนาแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่รู้ลืม และในโอกาสที่ประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นในปี 2558 หรืออีกแค่ 2 ปีข้างหน้า ก็จะยิ่งช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจทางพระพุทธศาสนาอย่างกว้างใหญ่ไพศาลก้าวสู่ระดับสากล ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
นั่น! จึงย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนไทย จำนวนกว่า 65 ล้านคน รวมถึงประชากรอาเซียนกว่า 600 ล้านคน แล้วว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ดำรงไว้ซึ่งทุกสถาบันอันเป็นองค์ประกอบของชาติ ประเทศ
อันเป็นองค์ประกอบแห่งโลกธาตุรวมถึงจิตวิญญาณอย่างมั่นคงถาวร มั่นคงจนไม่อาจมีอำนาจใดๆ มาหล่อหลอมจนหลุดพ้นจากวิถีชีวิตไปได้เลย
ปัจจุบัน! ประชากรไทยจำนวนร้อยละ 99 ล้าน ยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักประจำชาติ ด้วยสำนึกเสมอว่า เป็นศาสนาที่สอนให้ทุกคนมีเหตุผล รู้จักดับทุกข์ดับกิเลส อันเป็นที่มาแห่งทุกข์
ฉะนั้น! ประเทศไทยจึงได้กลายเป็นมหาอำนาจทางพระพุทธศาสนาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติจากทั่วโลกต่างหลั่งไหลเดินทางเข้ามาศึกษาแก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนาจำนวนนับแสนราย จนเกิดเป็นสำนักสงฆ์หรือสถาบันทางพระพุทธศาสนานานาชาติจำนวนวนมากมาย ครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาคของไทย
อย่างในกรณีของพระอาจารย์ชาคิโนภิกขุ ซึ่งเป็นชาวมาเลเซียโดยกำเนิดน่าจะเป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นแก่นแท้แห่งธรรมะ และการเข้าถึงชีวิตอย่างแท้จริงไม่ว่าในปัจจุบัน อนาคต โดยไม่ต้องไปแสวงหาถึงชมพูทวีป
แต่หากเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าแล้ว สามารถแสวงหาที่ตัวเองโดยมีเมืองไทยเป็นฐานรองรับอย่างแรงกล้าก็เพียงพอแล้ว
...(อามิตตาพุทธ)..... ชาคิโนภิกขุ" ศรัทธาพระธุดงค์ศาสนาและเมืองไทยสุดซึ้งตั้งมูลนิธิธัมมคีรีช่วยเด็กดอยที่แม่ฮ่องสอน
พระอาจารย์ชาคิโนภิกขุ..คือใคร
พระอาจารย์ชาคิโนภิกขุ มีชื่อจริงว่า หยุ่งฝางหลา เป็นชาวมาเลเซียโดยกำเนิน เกิดใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ก่อนที่จะตัดสินใจบวชนั้น เคยเป็นช่างภาพมือหนึ่งของมาเลเซีย และเคยได้รับรางวัลสูงสุดในระดับเอเชียมาแล้ว แต่ด้วยความเป็นคนที่สุขุม ชอบอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีความคิดเป็นของตัวเองสูงตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก จึงไม่ได้ให้ความสนใจต่อลาภยศสรรเสริญที่ได้รับเท่าใดนัก จึงตัดสินใจบวชโดยมีความตั้งใจที่จะค้นหาความสุขที่แท้จริงว่าคืออะไรกันแน่ (บวชในลัทธิมหายานมาก่อน)
ในประเทศมาเลเซียได้หมั่นศึกษาธรรมะอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่สามารถค้นหาตัวตนของตัวเองอย่างแท้จริงได้ จึงตัดสินใจเข้าเดินทางเข้ามาในประเทศไทย แล้วบวชจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดแพร่รวมระยะเวลา 5 พรรษา ทั้งหมั่นศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง (อีกครั้ง) ก็ยังไม่เห็นธรรม ก็ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส จึงตัดสินใจลาสิกขาบทในเวลาต่อมา เส้นทางเดินของพระอาจารย์ชาคิโนภิกขุ ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น โอกาส
ต่อมาจึงต้องกลายเป็นชายสามโบสถ์โดยบวชเป็นภิกขุอีกรอบแล้วตัดสินใจเดินทางเข้าสู่วัดป่านานาชาติสาขาหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี และจำพรรษาอยู่นานถึง 5ปี มีโอกาสศึกษาธรรมะอย่างแท้จริง เริ่มเรียนรู้วินัย เรียนรู้ถึงที่มาแห่งเหตุและผลเรียนรู้ถึง ความดับทุกข์ โดยเรียนรู้ถึงแก่นแท้ของการธุดงค์คืออะไร
ด้านการธุดงค์นั้นจัดเป็นพระภิกษุอีกรูปหนึ่งที่มีความแก่กล้าด้านนี้มาก เพราะได้เดินทางธุดงค์มาแล้วกว่า 4,000 กิโลเมตร จากอำเภอหาดใหญ่-ถึงจังหวัดแพร่ เข้าสู่จังหวัดน่าน เชียงราย ท้ายที่สุดแล้วก็มาประจำอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
ข้าวช้อนเดียว เปลี่ยนทั้งชีวิต หากจะจัดลำดับพระต่างชาติที่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาและเมืองไทยแล้ว พระอาจารย์ชาคิในภิกขุย่อมมีความโดดเด่นในระดับต้นๆ และสิ่งที่จะกล่าวว่าจากนี้ไปคือ จุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพระอาจารย์ชาคิในภิกขุ รวมไปถึงเด็กชาวเขาเด็กชาวดอยผู้ด้อยโอกาสทางสังคมของไทยทั้งหลาย
พระอาจารย์ชาคิในภิกขุ เล่าว่า ตอนที่อาตมาเดินธุดงค์จากจังหวัดแพร่ มาจำพรรษาที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณบ้านห้วยหกนั้น วันแรกได้ออกบิณฑบาตจากถ้ำประมาณ 1 กิโลเมตร เดินตรงไปที่บ้านไม้ไผ่สภาพทรุดโทรมมาก ดูเหมือนว่าคนไม่สามรถอยู่ได้เลย แต่ปรากฏว่ามีแม่บ้านแต่งตัวมอมแมมหน้าตาเศร้าหมองกรุณานำเอาชามที่มีสภาพไม่ต่างกับชามใส่อาหารให้สุนัข บรรจงตักข้าวที่หุงใหม่ๆ ใส่จานแล้วก้าวลงมาจากบ้านพร้อมที่จะนำมาตักบาตร แต่ระหว่างนั้น ก็มีเด็กตัวเล็กๆ แต่งตัวมอมแมมเสื้อผ้าไม่มีจะใส่ ขี้มูกเกรอะกรังพยายามกอดชายผ้าถุงของแม่พร้อมมองไปที่ชามข้าวเหมือนกับจะบอกว่า "แม่จ๋าอย่านำข้าวไปให้พระเลย
เพราะหากแม่เอาไปให้แล้วหนูจะเอาข้าวที่ไหนกิน" ซึ่งมันเป็นภาพที่อาตมาจดจำมาจนถึงวันนี้และก่อนจะฉันข้าวช้อนนั้นรู้สึกโกรธตัวเอง ว่าทำไมต้องไปแย้งข้าวเด็กกินมันเสียศักดิ์ศรีความเป็นคนจนไม่รู้จะพูดอย่างไร พระอาจารย์คาชิโนภิกขุ กล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นจนทำให้ผู้ฟังหลายคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ก่อนจะเล่าต่อไปว่าอาตมาตัดสินใจ
ฉันข้าวช้อนนั้นหลังจากฉันข้าวเสร็จก็ได้อธิษฐานว่า ขอให้บุญที่โยมตักบาตรให้ในวันนี้จงสนองกลับคืนไป และขอให้ผู้อุปการะอาตมาคือ น้องสาวแท้ๆ จงร่ำรวยจะได้นำปัจจัยมาช่วยเหลือครอบครัวนี้ ซึ่งดูเหมือนมีปาฏิหาริย์ เพราะหลังจากนั้น 1 ปี น้องสาวโทร.มาบอกว่าจะนำเงินมาช่วยเหลือเดือนละ 100,000 บาท จากที่เคยช่วยเหลือเดือนละ 7,000 บาท เมื่อสอบถามกลับไปจึงทราบว่าน้องสาวสามารถขายที่ดินได้เงิน 1,000,000 บาท รับคอมมิชชั่น 100,000 บาท จึงส่งเงินมาช่วยเหลือและได้ช่วยเหลือมาแล้วกว่า 6 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้มาอาตมานำไปซื้อข้าวของต่างๆ เช่น อิฐ ปูน ตะปูสังกะสีและอาหารโดยครั้งแรกเดินทางไปมอบให้กับครอบครัวที่ตักบาตรรวมไปถึงครอบครัวอื่นๆ โดยบริจาคไปแล้วรวม 3 ครั้ง (สาธุ สาธุ สาธุ)
มูลนิธิธัมมคีรี ช่วยชาวดอยอย่างแท้จริง จากข้าว 1 ช้อน และความเมตตาอันเกิดจากแก่นแท้แห่งธรรมะจึงเป็นแรงบันดาลอย่างสูงยิ่งทำให้ พระอาจารย์ชาคิโนภิกขุมารู้จักกับอาจารย์จินตนา ทองทะจิตร์ ซึ่งเป็นครูนักปฏิบัติธรรมอันดับแถวหน้าของแม่ฮ่องสอน มีเป้าหมายนำนักเรียนชาวเขาชาวม้ง ชาวดอย เข้าอบรมปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาร่วมกัน จัดอบรมธรรมมาอย่างต่อเนื่องรวมแล้ว 6 ครั้ง มีผู้ผ่านการอบรมไปแล้วจำนวนนับพันราย ขยายเครือข่ายครอบคลุมไปสู่หลายอำเภอในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ซึ่งข่าวการฝึกปฏิบัติธรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน ทั้งในระดับจังหวัด ระดับรัฐบาลด้วย ซึ่งเห็นว่าเป็นงานทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ต่อมาพระอาจารย์ชาคิในภิกขุ ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วยการจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อการศึกษา โดยเน้นเด็กกำพร้าเด็กด้อยโอกาสที่เป็นชาวเขา ชาวดอย ทั้งสิ้น รวมทั้งบริจาคปัจจัยเพื่อการศึกษาอบรมครั้งละประมาณ 70,000 บาท ต่อการอบรม 7 วัน
ขณะเดียวกัน ได้มีการจัดตั้งมูลนิธิธัมมคีรี ขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2553 ณ.วัดป่าบ้านใหม่ ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินฝึกอบรมปฏิบัติธรรม เพื่อมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียน และเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าชาวเขาชาวดอย ที่ผ่านมา มีการบริจาคทุนการศึกษาไปแล้วจำนวนเงิน 330,000 บาท เลี้ยงเด็กกำพร้าและด้อยโอกาสเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1 ล้านบาท ให้การอุปถัมภ์เด็กนักเรียนที่กำลังศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 12 คน ระดับประถม 10 คน ระดับมัธยมต้น-มัธยมปลาย 12 คน ซึ่งทั้งหมดล้วนได้รับทุนชาคิโนภิกขุ ทั้งสิ้น
ปัจจุบัน! งบประมาณดำเนินการลดน้อยลงไปมาก เนื่องจากโยมอุปฐากคือน้องสาวที่มาเลเซียไม่มีกำลังบริจาคแล้ว แต่มูลนิธิธัมมคีรีจะต้องดำเนินต่อไปอย่างมุ่งมั่น เพราะได้รับการสนับสนุนจากพระอาจารย์ชื่อดังสายธุดงค์ทั่วประเทศ โดยมีนักธุรกิจผู้ใจบุญชาวมาเลเซียร่วมบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างสถานที่ทำการแห่งใหม่วงเงิน 5 ล้านบาท (สำหรับจัดซื้อที่ดินจำนวน 5 ไร่ในเบื้องต้น) โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 30 ล้านบาท สำหรับการก่อสร้างอาคารเพื่อรองรับในการให้ความช่วยเหลือชาวดอยผู้ด้อยโอกาสต่อไป ถึงตรงนี้! ก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า พระพุทธศาสนานั้นมิได้มีการปิดกั้นพลังแห่งศรัทธาแต่อย่างใดแม้ว่าผู้คน เชื้อชาติจะอยู่บนสถานที่แห่งใดในโลก
ในกรณีของพระอาจารย์ชาคิโนภิกขุ ซึ่งได้ชื่อเป็นผู้สละแล้วจากกิเลสทั้งมวลชนก็เช่นเดียวกัน แม้จะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลฝ่าขุนเขาหลายหมื่นโยชน์ แต่ที่สุดแล้ว ก็สามารถค้นหาสัจธรรมให้กับตัวเอง แล้วมอบให้กับผู้คนอีกหลายหมื่นหลายพันชีวิตได้หลุดพันจากบ่วงทุกข์
ทึ่ง! พระธุดงค์ สายเลือดมาเลเซีย “ชาคิโนภิกขุ”
ศรัทธาพระธุดงค์-ศาสนาและเมืองไทย
สุดซึ้งกับมูลนิธิธัมมคีรีช่วยเด็กดอยที่แม่ฮ่องสอน
“เมืองไทยเป็น เมืองพุทธ” คำๆ นี้ หรือวลีนี้ยังคงความศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์ขลัง ที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู้ ความเป็นมหาอำนาจทางพระพุทธศาสนาแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่รู้ลืม และในโอกาสที่ประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นในปี 2558 หรืออีกแค่ 2 ปีข้างหน้า ก็จะยิ่งช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจทางพระพุทธศาสนาอย่างกว้างใหญ่ไพศาลก้าวสู่ระดับสากล ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
นั่น! จึงย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนไทย จำนวนกว่า 65 ล้านคน รวมถึงประชากรอาเซียนกว่า 600 ล้านคน แล้วว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ดำรงไว้ซึ่งทุกสถาบันอันเป็นองค์ประกอบของชาติ ประเทศ
อันเป็นองค์ประกอบแห่งโลกธาตุรวมถึงจิตวิญญาณอย่างมั่นคงถาวร มั่นคงจนไม่อาจมีอำนาจใดๆ มาหล่อหลอมจนหลุดพ้นจากวิถีชีวิตไปได้เลย
ปัจจุบัน! ประชากรไทยจำนวนร้อยละ 99 ล้าน ยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักประจำชาติ ด้วยสำนึกเสมอว่า เป็นศาสนาที่สอนให้ทุกคนมีเหตุผล รู้จักดับทุกข์ดับกิเลส อันเป็นที่มาแห่งทุกข์
ฉะนั้น! ประเทศไทยจึงได้กลายเป็นมหาอำนาจทางพระพุทธศาสนาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติจากทั่วโลกต่างหลั่งไหลเดินทางเข้ามาศึกษาแก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนาจำนวนนับแสนราย จนเกิดเป็นสำนักสงฆ์หรือสถาบันทางพระพุทธศาสนานานาชาติจำนวนวนมากมาย ครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาคของไทย
อย่างในกรณีของพระอาจารย์ชาคิโนภิกขุ ซึ่งเป็นชาวมาเลเซียโดยกำเนิดน่าจะเป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นแก่นแท้แห่งธรรมะ และการเข้าถึงชีวิตอย่างแท้จริงไม่ว่าในปัจจุบัน อนาคต โดยไม่ต้องไปแสวงหาถึงชมพูทวีป
แต่หากเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าแล้ว สามารถแสวงหาที่ตัวเองโดยมีเมืองไทยเป็นฐานรองรับอย่างแรงกล้าก็เพียงพอแล้ว
เครดิต : หนังสือพิมพ์บ้านเมืองและGood Morning/บ้านมหา.คอม
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ มูลนิธิธัมมคีรีได้ที่ วัดป่าบ้านใหม่ ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือ โทร.08-5777-3112
http://www.ryt9.com/s/bmnd/1567229
Bookmarks