กำลังแสดงผล 1 ถึง 4 จากทั้งหมด 4

หัวข้อ: โรคไมเกรน

  1. #1
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    โรคไมเกรน

    บันทึกหมอแดง
    ตอน : โรคไมเกรน ต้องเริ่มรักษาที่กระเพาะอาหาร



    โรคไมเกรน


    ตอน : โรคไมเกรน ต้องเริ่มรักษาที่กระเพาะอาหาร

    โรคที่มีผู้ป่วยมารักษาที่คลินิกผมมากที่สุดโรคหนึ่งคือ อาการปวดศีรษะไมเกรนไม่ว่าผมจะเขียนลงคอลัมน์ หรือพูดในรายการกี่รอบ ก็ยังมีผู้ป่วยไมเกรนมาตลอด ผมขอพูดอีกสักครั้งแล้วกันถึงวิธีการรักษา อาการปวดศีรษะไมเกรนตามแบบฉบับแพทย์แผนไทย


    คุณจารุณี ปวดศีรษะไมเกรนมา 10 กว่าปี ก็รักษามาตลอด แรกๆจะมีอาการทุกวัน
    ปัจจุบันเหลือสัปดาห์ละ 2 วัน ก็ได้แต่กินยา คาร์เฟอร์กอท จนดื้อยา และเกิดอาการข้างเคียง มากมาย ระยะหลังกินยาพาราเซตามอล พอนสแตน (Ponstan) ยาแก้เครียด ยาก่อนนอน เป็นยาป้องกันไมเกรนนอนเหมือนนอนหลับแต่ไม่สนิท มันจะมีอาการตึบๆ บีบขมับตลอด บางครั้งอาเจียน 3 วันติดต่อกันจนหมดแรงต้องหาหมอให้น้ำเกลือ กินน้ำกินอาหารไมได้ จะอาเจียนตลอด เวลาจะเป็นจะมีอาการเตือน หูอื้อ ตื้อๆ ปวดนิดๆ ถ้ากินยาดักทันจะไม่อาเจียน แต่ยังมีอาการปวดอยู่ แต่ถ้าอาเจียนออกมาทีนี้ก็หนักเลย ปวดหัว อ่อนแรง อ่อนเพลียทำอะไรไม่ไหว ต้องนอนหรือไม่ก็ต้องให้น้ำเกลือ แต่ก็แปลกอย่าง เวลาตั้งท้องจะไม่มีอาการปวดไมเกรนนี้เลย อยู่สบายๆ จนอยากจะตั้งท้องอยู่อย่างนี้ จะได้ไม่ต้องทรมาน

    เธอจะมีอาการร้อนใน ปากคอแห้ง เป็นแผลในปากตลอด เธอสงสัยมาก เมื่อผมบอกว่าเธอดื่มน้ำมากไป ทำให้ร้อนใน ให้ดื่มน้อยลงหน่อย
    “ขนาดหนูดื่มน้ำวันละ 5 ลิตรกว่ายังร้อนในปากแตกเลย ถ้าดื่มน้อยกว่านี้ จะไม่ยิ่งร้อนในหรือ” เธอชักสงสัย “สรรพสิ่งต่างๆ ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟและร่างกายของเราก็เช่นกัน อะไรที่มันมากเกินหรือน้อยเกินย่อมก่อให้เกิดปัญหา น้ำมากไปดินก็ถูกพังทลาย ภูเขาใหญ่ๆยังพังทลายได้เลย ไฟก็ถูกน้ำดับหมด ลมก็พัดไม่ไปเพราะถูกน้ำปิดกั้น” ผมพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจ


    เธอก็ฟัง แต่ผมสังเกตเห็นสีหน้าเธอยังงงอยู่ “ก็ไหนใครบอกให้ดื่มน้ำมากๆ จะทำให้สุขภาพดี ก็ดื่มมากแล้วก็น่าจะดี หมอมาว่าไม่ถูกต้องอีก มันยังไงกันหมอ” เธอชักมีความขัดแย้งในสีหน้า ผมลองตรวจร่างกายของเธอดู กดลิ้นปี่มีอาการจุกแน่น กดท้องมีลมวิ่งดังจ๊อกๆ จุด “จูซานลี่” ตรงสันหน้าแข้งใต้เข่ากดแล้วเจ็บมาก แสดงว่ากระเพาะทำงานไม่ดี การย่อยอาหารไม่ดีจะสร้างแก๊สสร้างลม เกิดการหมักหมมและกลายเป็นสารพิษ (Toxin) ในกระเพาะและลำไส้ ลำไส้ก็ดูดซึมเอาสารพิษนี้เข้าไปเลี้ยงร่างกาย สารพิษหรือToxin นั้นก็เข้าไปในเส้นเลือด เส้นเอ็น ทำให้เส้นเลือดและเส้นเอ็นแข็งตึง เลือดลมก็ไหลเวียนไม่สะดวก เพราะมีแต่สารพิษเข้าไปอัดแน่นตามส่วนต่างๆในร่างกาย

    คุณจารุณี อายุ 34 ปี มีน้ำหนักตัว 52 กก. ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว หรือเกือบๆ 2 ลิตร ก็ถือว่าเพียงพอ แต่เธอดื่มน้ำชาอุ่นๆวันละ 5 ลิตร น้ำธรรมดาอีก 4-5 แก้ว (ประมาณ 1 ลิตร) ซึ่งมันมากเกินไป และชานั้นจะมีฤทธิ์เย็น แม้จะดื่มแบบอุ่นก็ตาม เพราะเมื่อความอุ่นของน้ำหายไป ความเย็นของฤทธิ์ชาก็จะอยู่ในกระเพาะ ลำไส้ อีกทั้งเวลาทานอาหารแต่ละมื้อก็ดื่มน้ำชาอีก 2-3 แก้ว


    ดังนั้นฤทธิ์เย็นของชาประกอบกับดื่มน้ำมากเกินไปช่วงทานอาหาร ก็ทำให้”ไฟย่อยอาหาร” หย่อนพิการ การย่อยอาหารจึงทำได้ไม่ดี อาหารที่ตกค้างไม่ย่อยในกระเพาะก็หมักหมมเป็นของเสีย เกิดเป็นสารพิษในกระเพาะลำไส้ เมื่อในกระเพาะ ในลำไส้เราเต็มไปด้วยของเสีย ของเน่า ถึงเราจะกินอาหารดีๆลงไปแค่ไหน มันก็จะพากันเน่าเสียไปหมด ร่างกายเราก็จะกลายเป็นถุงใส่สิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น

    อาการปวดไมเกรนนั้น จะปวดบริเวณขมับซ้ายและขวา ซึ่งบริเวณนี้เส้นลมปราณของ”กระเพาะอาหาร” และ “ถุงน้ำดี” เดินผ่านพอดี ดังนั้นเมื่อมีการปวดศีรษะบริเวณนี้ การแพทย์ตะวันออกจะวินิจฉัยว่า ผู้ป่วยคนนั้นกระเพาะอาหารทำการย่อยไม่ดี จึงเกิดสารพิษในร่างกายเข้าไปในร่างกายทำให้เกิดอาการเจ็บปวด หรือในกรณีถุงน้ำดีทำงานไม่ดี เพราะมีความเครียดและกินอาหารทอดๆมันๆมากเกินไป ทำให้ถุงน้ำดีร้อน ระบายเลือดลมได้ไม่ดี ก็ทำให้ปวดศีรษะ
    การแพทย์แผนไทยแต่โบราณบอกไว้ว่า การปวดศีรษะที่ขมับนี้เกิดจากลมที่เรียกว่า”ลมปะกัง”คือ ลมที่เกิดจากการย่อยอาหาร ที่ไม่ดี ทำให้เกิดแก๊สลอยขึ้นเบื้องบน ทำให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นตึง เลือดลมเดินไม่สะดวกและเกิดอาการปวด


    อีกท่านหนึ่งคือคุณจารุณี มิได้ปวดไมเกรนคนเดียว แต่ปวดกันทั้งครอบครัว ทั้งแม่ของเธอ พี่สาว น้องสาว น้องชายเป็นกันหมด แถมยังลามไปถึงน้องสะใภ้ด้วย ที่เธอรู้จักคลินิก ดิ อโรคยาก็เพราะน้องสะใภ้มารักษาก่อนจึงได้แนะนำให้เธอมารักษาที่นี่
    คุณแม่ของเธออายุ 70 ปี บอกว่าเป็นไมเกรนมาตั้งแต่เป็นสาวๆ อายุประมาณ 20 ปี เวลาปวดต้องดึงผมให้ค่อยๆคลายอาการปวด โดยเฉพาะเวลาอาการร้อนจะเป็นบ่อยมาก รักษามาตลอดก็ไม่หายเสียที จนเบื่อที่จะรักษา เมื่อปวดก็กินยา เป็นมากๆก็หาหมอให้น้ำเกลือ ฉีดยา
    พี่สาวของเธอก็เป็นหนักเหมือนกัน พฤติกรรมของพี่สาวและแม่คือ ตื่นเช้ามาดื่มกาแฟ 3 ถ้วย ปาท่องโก๋ เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก ดื่มน้ำช่วงรับประทานอาหาร 4-5 แก้ว แต่แม่ไม่ค่อยดื่มน้ำธรรมดา ชอบดื่มน้ำอัดลมกับกาแฟ

    ลูกและแม่ต่างไม่เคยรู้มาก่อนว่า เมื่อดื่มกาแฟตอนเช้าโดยไม่ทานอาหารเช้าจะเป็นอย่างไร กาแฟจะเข้าไปเร่งให้กระเพาะผลิตน้ำย่อยจนหมด เมื่อถึงเวลากินจริงๆก็ไม่เหลือน้ำย่อยให้ย่อยอาหารแล้ว แถมกระเพาะก็ได้รับระคายเคืองจากคาเฟอีนจากกาแฟทำให้กระเพาะปั่นป่วนไปหมด และน้ำดีหรือน้ำย่อยจะไม่หลั่งออกมา คอลเลสเทอรอลที่อยู่ในน้ำดีก็ไม่หลั่งออกมา และจับตัวกันเป็นก้อนนิ่วอยู่ในถุงน้ำดี ลมปราณในเส้นถุงน้ำดีก็จะไม่เดิน เป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน


    ลูกๆเมื่อไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงก็โทษแม่ ว่าเป็นเพราะพันธุกรรมจากแม่ ไมเกรนจึงตกทอดมาถึงลูกๆ แต่แม่ก็ไม่รู้จะโทษใคร เพราะแม่ของแม่ ก็ไม่เคยเป็นไมเกรน แม่เองก็ดูเหมือนจะยอมรับโดยดุษฎีว่าตัวเองสร้างเชื้อสายพันธุ์ไมเกรนขึ้นมา ทำให้ลูกๆป่วยกันถ้วนหน้า
    “ปลาอยู่ในอ่างเดียวกัน เมื่อป่วยก็ป่วยเหมือนๆกัน” ดังเช่นครอบครัวนี้ที่เป็นไมเกรนกันทุกคน ก็เพราะพฤติกรรมการกินการอยู่ที่เหมือนกัน ดั่งคำที่ว่า ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น มีพฤติกรรมที่ทำให้อวัยวะภายในอ่อนแอลง ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะระบบการย่อยอาหาร

    เมื่อเราเป็นอะไร ก็ขอให้อย่ามัวแต่ไปโทษเวรโทษกรรม โทษกรรมพันธุ์อยู่เลย และอย่าเอาแต่กินยา ฉีดยาบรรเทาอาการปวดแค่ชั่วครั้งชั่วคราว มันจะยิ่งลุกลามกันไปใหญ่โตจนแก้กันไม่ไหว อย่าปล่อยให้”สายเกินแก้” หันมามองตัวเองดูบ้าง ว่าท่านได้ทำอะไรผิดกับร่างกายไว้บ้าง แล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุย่อมดีกว่าแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแน่นอนครับ



    วิธีการในการรักษาไมเกรน แบบฉบับดิอโรคยา

    - ก่อนและหลังอาหาร 30 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะ
    - หลีกเลี่ยงน้ำเย็น เพราะจะทำให้กระเพาะช๊อค ผลิตน้ำย่อยไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ให้ดื่มทีละน้อย
    - หลีกเลี่ยง กาแฟตอนเช้า ก่อนอาหาร เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง ย่อยอาหารไม่ได้
    - นวดตัว และ ฝ่าเท้า สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะภายในกลับมาทำงาน
    - ก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง ไม่ทานอาหารมื้อหนัก เพราะเวลานอน กระเพาะอาหาร ก็จะไม่ย่อยอาหาร
    - หลังอาหาร ใช้ตัวช่วยในการย่อยอาหารเช่น น้ำเอนไซม์ , นมเปรี้ยว(มีกรดแลคติกช่วยย่อย)
    - ทานขมิ้นชัน แคปซูล หรือ น้ำขิง ก่อนอาหาร เพื่อปรับสมดุลให้กระเพาะอาหาร พร้อมที่จะย่อย

    - ตื่นเช้าทาน สาหร่ายเกลียวทอง 5 เม็ด พร้อมน้ำ 2 แก้ว เพื่อเติมสารอาหารที่ดีให้กับร่างกาย (ตามนาฬิกาชีวิต หากทานอาหาร ในช่วง 7-9 โมงเช้า จะมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสุขภาพมากที่สุด) อีกทั้ง สนับสนุนให้ร่างกายผลิตเลือดมากขึ้น ซึ่งเลือดจะนำอ๊อกซิเจนและอาหารไปซ่อมแซมส่วนต่างๆ และ นำพาของเสียออกจาก อวัยวะต่างๆของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว , สนับสนุนให้ Probiotic เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 200% ซึ่ง Probiotic มีส่วนช่วยในการย่อย ดูดซึม ขับถ่าย และ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย[/CENTER]


    เครดิต : ดิอโรคยาคลีนิค/บ้านมหา.คอม

  2. #2
    เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ สัญลักษณ์ของ บ่าวจัย
    วันที่สมัคร
    Jun 2008
    กระทู้
    2,872
    แม่บ้านผมกะจ่มปวดไมเกรนคือกันครับ ไปหาหมอกะรักษาบ่หายสิได้ลองวิธีนี้เบิ่งยุ ขอบคุณครับลุง
    หล่อคืออ้าย กินข้าวบายกบตั๋วะหล่า

  3. #3
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ กะแยงนา
    วันที่สมัคร
    Apr 2009
    กระทู้
    211
    บล็อก
    2
    ขอบคุณความรู้ที่นำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ เจอทั้งไมเกรน ทั้งไซนัสเล่นงานลยจ้าลุงใหญ่

    - หลีกเลี่ยงน้ำเย็น เพราะจะทำให้กระเพาะช๊อค ผลิตน้ำย่อยไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ให้ดื่มทีละน้อย

    - หลีกเลี่ยง กาแฟตอนเช้า ก่อนอาหาร เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง ย่อยอาหารไม่ได้

    ตัดใจลงบ่น้อค่ะ 2 ข้อนี่

  4. #4
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ หลานพระรถ
    วันที่สมัคร
    Aug 2008
    ที่อยู่
    เมืองพระรถธานี, ชลบุรี
    กระทู้
    343
    ขอบคุณคะสำหรับสาระดีๆ และวิธีการปฏิบัติตนเบื้องต้น
    คงต้องเพิ่มการนวดตัว นวดเท้าแล้วกระมัง

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •