น้ำเต้า ไม้เถาในพระสุบิน “พระเจ้าปเสนทิโกศล”


**น้ำเต้า **


น้ำเต้า ไม้เถาในพระสุบิน “พระเจ้าปเสนทิโกศล”

น้ำเต้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “Lagenaria siceraria Standl.” อยู่ในวงศ์ Cucurbitaceae เป็นไม้เถาล้มลุกขนาดใหญ่ ลำต้นเป็นเหลี่ยม เมื่อเถาอ่อนจะมีสีเขียวอมเหลือง และเมื่อเถาแก่จะมีสีเทา ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหัวใจกว้าง 10-25 เซนติเมตร ออกเรียงสลับ ขอบใบหยัก ดอกเป็นดอกเดี่ยว ขนาดใหญ่ สีขาว มี 5 กลีบ ออกตามซอกใบ มีก้านช่อดอกยาว

ส่วนผลของน้ำเต้านั้นมีหลายรูปทรงแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อาทิเช่น ชนิดผลกลม ไม่มีคอ, ชนิดผลกลม มีคอเหมือนคอขวด, ชนิดผลกลมยาวเหมือนงาช้าง เนื้อในผลมีสีขาวและมีเมล็ดจำนวนมาก เมื่อผลแก่เนื้อภายในผลจะค่อยๆ หายไป เหลือแต่เมล็ดแก่ติดเปลือกอยู่ โดยทั่วไปผลจะมีเนื้อในนุ่มรสหวาน ยกเว้นชนิดผลกลมไม่มีคอจะมีรสขม มักนำมาใช้ทำยา



**น้ำเต้า **

สรรพคุณทางพืชสมุนไพรของน้ำเต้ามีมากมาย อาทิเช่น แก้ตัวร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้เริม เบาหวาน แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ ปอดอักเสบ ลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย แผลในกระเพาะอาหาร และความดันโลหิต เป็นต้น

ผลน้ำเต้านั้นเมื่อแก่และขูดเนื้อในออกหมดแล้ว สามารถนำมาใช้บรรจุอาหารและน้ำดื่มได้ ดังมีเรื่องแต่ครั้งพุทธกาลว่า ภิกษุทั้งหลายใช้กระโหลกน้ำเต้าเที่ยวบิณฑบาต ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าเหมือนพวกเดียรถีย์ เมื่อความทราบถึงพระพุทธองค์ จึงทรงตรัส เพื่อบัญญัติเป็นพระวินัย เรื่องบาตร สำหรับภิกษุไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้กระโหลกน้ำเต้าเที่ยวบิณฑบาต รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏฯ”



**น้ำเต้า **


และ ในพระไตรปิฎก มหาสุบินชาดก ว่าด้วยมหาสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศล 16 ข้อ ที่ได้ทรงให้สมเด็จพระบรมศาสดาทำนายเหตุที่จะเกิดกับพระองค์อันเนื่องมาจากพระสุบินนั้น โดย หนึ่งในนั้นมีพระสุบินเกี่ยวกับน้ำเต้า

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบทูลถามพระศาสดา ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้ พระเจ้าข้า”



**น้ำเต้า **


พระบรมศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร ผลแห่งสุบินนี้ก็จักมีในอนาคตกาล เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อมในรัชกาลของพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ด้วยว่าในครั้งนั้น พระราชาทั้งหลายจักไม่พระราชทานยศแก่กุลบุตรผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ จักพระราชทานแก่ผู้ไม่มีสกุลเท่านั้น พวกนั้นจักเป็นใหญ่ อีกฝ่ายหนึ่งจักยากจน ถ้อยคำของพวกไม่มีสกุลดุจกระโหลกน้ำเต้า ดูประหนึ่งหยั่งรากลงแน่นในที่เฉพาะพระพักตร์พระราชาก็ดี ที่ประตูวังก็ดี ที่ประชุมอำมาตย์ก็ดี ที่โรงศาลก็ดี จักเป็นคำไม่โยกโคลง มีหลักฐานแน่นหนาดี

แม้ในสังฆสันนิบาต (ที่ประชุมสงฆ์) เล่า ในกิจกรรมที่สงฆ์พึงทำและคณะพึงทำก็ดี ทั้งในสถานที่ดำเนินอธิกรณ์เกี่ยวกับบาตร จีวร และบริเวณเป็นต้นก็ดี ถ้อยคำของคนชั่วทุศีลเท่านั้น จักเป็นคำนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ มิใช่ถ้อยคำของภิกษุผู้ลัชชี (ผู้มีความละอายที่จะทำชั่ว คือผู้ไม่กล้าทำชั่วเพราะมีความละอายใจที่จะทำเช่นนั้น คือภิกษุที่ดีนั่นเอง) เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จักเป็นเหมือนกาลเป็นที่จมลงแห่งกระโหลกน้ำเต้า แม้ด้วยประการทั้งปวง ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร



**น้ำเต้า **


ใน โพธิราชกุมารสูตร พระพุทธองค์ได้ตรัสกับโพธิราชกุมาร ถึงเมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยเปรียบพระเศียรของพระองค์ว่า

“...ผิวศีรษะของอาตมภาพที่รับสัมผัสอยู่ก็เหี่ยวแห้ง ดุจดังผลน้ำเต้าที่ตัดมาสดๆ อันลมและแดดกระทบอยู่ก็เหี่ยวแห้ง ฉะนั้น...”

และ ในพระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน หัวข้อ ‘โสวัณณโกนตริกเถราปทาน’ ว่าด้วยผลแห่งการถวาย ‘กระโหลกน้ำเต้า’ ซึ่งพระโสวัณณโกนตริกเถระได้กล่าวไว้ว่า



**น้ำเต้า **


“เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้อบรมใจ ฝึกพระองค์แล้ว มีพระทัยตั้งมั่น เสด็จดำเนินอยู่ในทางใหญ่ ทรงข้ามโอฆะได้แล้ว ทรงยินดีในการสงบระงับจิต ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง มีปกติเพ่งพินิจ ยินดีในฌาน เป็นมุนี เข้าสมาบัติ สำรวมอินทรีย์ จึงเอากระโหลกน้ำเต้าตักน้ำเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ล้างพระบาทของพระพุทธเจ้าแล้วถวายน้ำเต้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ได้ทรงบังคับว่า ท่านจงเอากระโหลกน้ำเต้านี้ ตักน้ำมาวางไว้ที่ใกล้ๆ เท้าของเรา เรารับสนองพระพุทธดำรัสว่า สาธุ แล้วเอากระโหลกน้ำเต้ามาวางไว้ใกล้พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เพราะความเคารพต่อพระศาสดา

พระศาสดาผู้ทรงความเพียรใหญ่ เมื่อจะทรงยังจิตของเราให้ดับสนิท ได้ทรงอนุโมทนาว่า ด้วยการถวายน้ำเต้านี้ ขอความดำริของท่าน จงสำเร็จ ในกัปที่ 15 แต่กัปนี้ เรารื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช 33 ครั้ง จะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เมื่อเราเดินหรือยืนอยู่ คนทั้งหลายถือถ้วยทองยืนอยู่ข้างหน้าเรา เราได้ถ้วยทองเพราะการถวายน้ำเต้าแด่พระพุทธเจ้า สักการะที่ทำไว้ในท่านผู้คงที่ทั้งหลาย ถึงจะน้อยก็ย่อมเป็นของไพบูลย์ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้เราได้ถวายน้ำเต้าในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งน้ำเต้า เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้”



**น้ำเต้า **


เครดิต : เวปธรรมจักร.เน็ต/บ้านมหา.คอม