สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ชอบสอนลูกคือการสอนให้อ่านหนังสือ เพราะสอนแล้วอดของขึ้นไม่ได้ บรรทัดแรกอ่านได้ พอบรรทัดที่ 2 คำเดียวกันแท้ ๆ แต่อ่านไม่ออก....555

ต้องยอมรับว่าเด็กสมัยนี้อ่านและท่องหนังสือไม่เหมือนสมัยก่อน จะสังเกตได้ว่าเกือบครึ่งค่อนห้องไม่มีความกระจ่างในเรื่องการอ่านและเขียนภาษาไทย

ส่วนมากจะเน้นไปทางภาษาแสลง ภาษาวิบัติ เป็นส่วนใหญ่ ในชุมชนที่ผมอยู่น้อยคนนักที่จะอ่านออกเขียนได้แบบถูกอักขระวิธี และน้อยคนนักที่จะเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 (ม.6) การอบรมบ่มนิสัยให้ลูกเรียนจบ ม.6 จึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ

ผมจะหมั่นไปหาอาจารย์ฝ่ายแนะแนว และฝ่ายทะเบียน เพื่อดูผลการเรียนของลูกเป็นระยะ ๆ เรียกได้ว่าโกหกผมไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

ยิ่งในช่วงที่ลูกสอบเข้าบรรจุเพื่อรับราชการ ยิ่งต้องตรวจตราเป็นพิเศษ มีหลายคนไปเข้าเรียนแล้ว ภายหลังตรวจคุณวุฒิไม่ผ่าน ก็ต้องออกมาเฉย ๆ เพราะตอนไปสมัครใบเกรดยังไม่ออก ใช้ใบรับรองไปสมัครแทน....ต้องดูให้ดี ๆ

ในช่วงที่ลูกผมสอบผ่านภาควิชาการ จะทดสอบสมรรถภาพร่างกาย และตรวจโรคในขั้นตอนต่อไป สิ่งที่ผมใส่ใจเป็นพิเศษคือ การว่ายน้ำ เพราะถ้าลูกตกว่ายน้ำลิเกก็เก็บฉากทันที แม้ปัจจุบันหากตกว่ายน้ำจะสามารถเข้าทดสอบสถานีอื่นได้ก็ตามเถอะ แต่ส่วนมากจะไม่มีชื่อสอบผ่านรอบ 2 เพราะเวลาไปเรียนจะต้องได้ว่ายน้ำแน่ ๆ

"แน่ใจนะว่าลูกว่ายน้ำได้" ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะผมไม่เคยเห็นลูกไปว่ายน้ำที่ไหน

ลูกเล่าให้ผมฟังว่า "วันเสาร์และวันอาทิตย์ผมแอบเอาเงินที่ผมหยอดกระปุกออมสินมาฝึกว่ายน้ำเป็นประจำ บางวันก็เอาไปจ้างค่าสนามหญ้าเทียม หัดเตะบอลกับเพื่อน ๆ เพราะถ้าขอเงินพ่อกับแม่ พ่อกับแม่ก็คงไม่ให้ผม" อืม...ท่าจะจริง วิธีการสอนลูกของผม ตอนที่ 3

ตอนเย็นผมจะนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างแอบไปดูลูกชายผมฝึกว่ายน้ำโดยไม่ให้เขารู้ พอเขาขึ้นจากสระน้ำ ผมก็รีบนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างมานอนดูทีวีอยู่ที่บ้าน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

"เป็นไงบ้างลูกว่ายน้ำพอได้ไหม ?" ผมยื่นคำถาม "ได้อยู่แล้วพ่อ" เขาตอบอย่างมั่นใจ

วันสอบรอบที่ 2 หลังจากที่นักเรียนว่ายน้ำเสร็จก็จะเดินเข้าทดสอบสถานี 2 คือสถานีดันพื้น สถานีที่ 3 คือลุก-นั่ง สถานีที่ 4 คือดึงข้อ และสถานีสุดท้ายคือสถานีวิ่ง ๑,๐๐๐ เมตร ภายในเวลา 4.30 นาที

ผมมองหาลูกชายด้วยความเป็นห่วงอย่างใจจดใจจ่อที่หน้าสถานีที่ 2 ก็หาไม่เจอ "เอ๊ะ...ลูกชายเราจะตกว่ายน้ำหรือเปล่าหนอ ?" ผมมีความกังวลใจ หันรีหันขวางเหมือนสุนัขขี่เรือ วิธีการสอนลูกของผม ตอนที่ 3

ในจังหวะที่ผมหันรีหันขวางอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงเรียกจากสวรรค์ "พ่อครับ ผมมาแล้ว" ลูกชายร้องเรียกผมจากในแถว ผมปรบมือให้ลูกชายและยกนิ้วโป้งให้ "นายแน่มาก" ....เฮ้อ...โล่ง-อก

หลังจากที่ผมได้ทำหน้าที่ที่ผมรับผิดชอบเสร็จ ผมก็ไปลุ้นลูกชายของผมทดสอบสถานีสุดท้าย คือสถานีวิ่ง "จะไหวหรือลูก ลูกเพิ่งผ่าตัดไส้ติ่งมาไม่กี่เดือนเอง" ผมถามด้วยความกังวลคำรบ 2

"พ่อคอยดูก็แล้วกัน ดูซะก่อนว่าผมใส่รองเท้าใคร ?" เอ๊ะ...สีคุ้น ๆ เหมือนรองเท้าวิ่งของผม วิธีการสอนลูกของผม ตอนที่ 3 สมราคาคุย ลูกชายผมเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 2 ในชุดนั้น วิธีการสอนลูกของผม ตอนที่ 3

ลัดเลาะตัดตอน ในช่วงที่ลูกผมเข้าศึกษา เป็นระยะเวลาหลายเดือนที่ผมไม่ได้ติดต่อกับลูก เพราะในโรงเรียนห้ามใช้โทรศัพท์ หากคิดถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องให้เขียนจดหมายเท่านั้น และจดหมายจากผู้ปกครอง หรือแฟน ถ้าจะส่งถึงลูกชายจะต้องผ่านการเซ็นเซอร์ทุกฉบับ แต่ผมก็จะหาทางรับทราบความเคลื่อนไหวของลูกชายในทุก ๆ ขั้นตอนการผลิต

"พ่อครับใบ รบ. ผม วันเกิดผิดครับ พ่อไปแก้ที่โรงเรียนให้ผมหน่อย" คือเสียงแรกของลูกที่ผมได้ยิน ผมรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงลูกชาย "ลูกใช้โทรศัพท์ที่ไหนโทร" ผมยื่นคำถาม

"ของจ่ากองร้อยครับ" ลูกชายผมตอบ ผมรีบบันทึกเบอร์ไว้โดยไม่รอช้า แต่โทรหาไม่ติดซักที...5555

ตอนกลับมาเยี่ยมบ้านลูกชายก้มลงกราบเท้าผม และบอกกับผมว่า "วันที่พ่อพูดกับผมวันนั้น ผมไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำ เพราะคิดถึงพ่อมาก" ผมอมยิ้มและลูบหัวลูกชาย "ร้องไห้เหมือนเด็กเลยนะเรา"