กำลังแสดงผล 1 ถึง 6 จากทั้งหมด 6

หัวข้อ: หากหัวใจสู้...ชัยชนะอยู่ตรงหน้า

  1. #1
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197

    หากหัวใจสู้...ชัยชนะอยู่ตรงหน้า


    หากหัวใจสู้...ชัยชนะอยู่ตรงหน้า


    เมื่ออายุได้สิบสองปี อาลีและเพื่อนคนหนึ่งได้พากันไปชมงานแสดงสินค้าด้วยกัน เขาปั่นจักรยานใหม่ที่พ่อซื้อให้มาอย่างเฉิดฉาย ใจของอาลี ได้ยินแต่แจกขนมฟรี ภาพที่เขาจินตนาการก็คือ เขาปั่นจักรยานสุดโก้เข้าไปในงานแสดงสินค้า ได้รับของแจกมากมาย



    เขาเที่ยวชมงาน พร้อมกับกินขนมฟรี จนเพลินหลายชั่วโมง แต่แล้วเมื่อจะกลับบ้านมายังที่จอดรถจักรยาน ปรากฏว่า เขาไม่เห็นจักรยานคันโปรดเสียแล้ว มันอันตรธานหายไป อาลีกับเพื่อนตกใจมาก ร้อนใจดังหนูติดจั่น กระวนกระวาย


    "เฮ้ย...ไอ้หนู ไปแจ้งความตำรวจเลยนะ ไปแจ้งกับตำรวจชื่อมาร์ติน นะ เขาอยู่ชั้นลางของสนามกีฬาโคล่อมเบีย นี่เอง เขาสืบเก่งมา บางทีอาจจะได้จักรยานคืนนะ" เสียงพลเมืองดีร้องบอก


    อาลีและเพื่อนรีบวิ่งไปที่สนามกีฬาโคล่อมเบีย เพื่อขอพบจับตำรวจที่ชื่อมาร์ติน ให้ได้ สายตาสอดส่ายไปพบว่า สนามกีฬาแห่งนั้นมีนักมวยเป็นสิบกว่าคนกำลังฝึกซ้อมชกมวย เสียงหมัดที่ปล่อยลงบนกระสอบทรายรุนแรง หนักหน่วง เที่ยงตรง


    อาลีตกตะลึง มองการซ้อมมวยอย่างเพลิดเพลิน ลืมความกังวลที่จะมาแจ้งความเรื่องจักรยานหายไปโดยสิ้นเชิง เฝ้าแต่มองการฝึกซ้อม หลงเสน่ห์การเคลื่อนไหวของศิลปมวยที่อยู่บนสนามฝึกซ้อมแห่งนี้

    สนามที่มีนักมวยฝึกซ้อมการชกเดี่ยว และการชกคู่ มีวัยรุ่นหลายคนกำลังชกลม อาลีสนใจมาก ปลื้มศิลปะการชกมวย ท่าทางที่คล่องแคล่ว การเคลื่อนไหวที่เหมือนราชสีห์ตะปบเหยื่อ ดวงตาที่จิกลงตรงคู่ต่อสู้ จนละลานตาไปหมด


    อาลีนึกฉงนว่า จะมีคนออกหมัดได้เร็วและรุนแรงในคราวเดียวกัน หรือไม่ และผลจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำอย่างไรเราจะเป็นนักมวยได้บ้าง


    มาร์ตินผู้เป็นทั้งตำรวจและโค๊ชผู้ฝึกอบรมนักมวยสมัครเล่น ได้ทำการสอบปากคำของเด็กทั้งสองจดบันทึกเรื่องจักรยานที่หายไปของอาลีอย่างละเอียด พร้อมกับรับคำว่าจะพยายามหารถจักรยานมาคืนอาลีให้ได้

    แต่มาร์ตินก็สังเกตแววตาของอาลีที่บ่งบอกความในใจว่า อาลีอยากเรียนการชกมวยมาก


    ก่อนที่อาลีจะเดินจากไป มาร์ตินก็ได้ยื่นใบสมัครให้


    "นี่ใบสมัคร ถ้านายอยากเรียนชกมวย มาพบกันได้ที่นี่ เราเรียนการชกมวยตั้งแต่สิบแปดนาฬิกา จนถึง ยี่สิบนาฬิกา ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ กรอบใบสมัครมานะ แล้วนายมาฝึกซ้อมได้"


    หลังจากที่บอกพ่อแม่เรียบร้อยแล้ว อาลีก็จัดแตงกรอกใบสมัครและเข้าฝึกซ้อมกันชกมวยทันที โดยใช้วิธีการวิ่งไปมาจากบ้านมายังสนามฝึกซ้อมทุกวัน เพราะรถจักรยานหายไปยังไม่ได้คืนมา และไม่มีเงินเพียงพอที่จะนั่งรถประจำทาง

    เนื่องจากมาร์ตินเป็นโค๊ชผู้ฝึกซ้อมการชกมวยสมัครเล่น เขามีความรู้เพียงผิดเผินสอนได้เพียงการวางเท้าที่ตำแหน่งใด และออกหมัดอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง


    อาลีจึงตัดสินใจหาความรู้จากหนังสือเพิ่มเติม และฝึกฝนด้วยตนเอง ซึ่งค่อนข้างลำบาก แต่เขาก็มาฝึกซ้อมทุกวัน ไม่เคยขาด

    บางครั้งบนท้องถนน อาลีก็ยังอดไม่ได้ที่จะแกว่งหมัด ชกลม พร้อมกับเต้นพุตเวิร์คไม่อยุดเหมือนกำลังชกกับคู่ต่อสู้ เพื่อสร้างสมรรถนะของตนเองให้แข็งแกร่งเสมอ

    ทุกวันเขาจะวิ่งแข่งกับรถประจำทาง นแกจากนี้ยังประลองความเร็วแข่งกับม้าด้วย การฝึกฝนที่ไม่เคยหยุดหย่อน เพียงขาทั้งสองข้างของเขาเหยียบลงบนผืนผ้าใบของสังเวียนมวย ถึงร่างกายจะอ่อนล้าแทบหมดแรง แต่เขาไม่แยแสความอ่อนล้านี้ ยังคงตลุยขึ้นชกกับคู่ต่อสู้ ด้วยความแน่วแน่ จริงจัง บุกตะลุยคูชกอย่างไม่ยอมแพ้ จนได้รับฉายา ว่า "ตีไม่ตาย"


    สมรรถภาพร่างกายจากการฝึกฝนของเขายิ่งแกร่งขึ้น ๆ ความชำนาญ เทคนิกการชกมวย สภาพจิตใจพร้อมสู้ ยิ่งมากขึ้น ๆ

    ทุกสัปดาห์มาร์ตินจัดให้อาลีได้เข้าแข่งขัน ในรายการเจ้าสังเวียนแห่งอนาคต แต่ความพรากเพียรฝึกซ้อม การอดทนสุดยอด ความแข็งแกร่งเยี่ยม พลังแห่งจิตใจสู้ไม่ถอย เจ้าของฉายา "ตีไม่ตาย" คนนี้ ทำให้คู่ชกมีความรู้สึกเกรงขาม จนถอดใจยอมแพ้ในการแข่งขัน ทำให้อาลีชนะได้โดยง่ายดาย


    อาลีอายุได้สิบสามปี อาลีได้เข้าร่วมการแข่งขันรายการ "นวมทอง" ที่รัฐเคนตักกี้ ปรากฏว่าเขาพ่ายแพ้แต่นักมวยของค่ายที่ฝึกซ้อมโดย โค้ชสโตเนอร์

    ทำให้เขาตัดสินใจของลาออกจากค่ายของมาร์ติน ไปสมัครในค่ายมวยที่มีโค๊ชสโตเนอร์เป็นผู้ฝึกซ้อม

    เขาถูกกำหนดให้ออกหมดซ้ายที่เร็ว แรง แม่นยำ ในการฝึกซ้อมแต่ละวันอย่างน้อยสองร้อยครั้ง หากไม่หนักหน่วยต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่


    ปั๊บๆๆๆๆ ตาจิก สมองแน่วแน่ เป้าอยู่ตรงหน้า แม่น แรง เร็ว ในแต่ละครั้งที่ออกหมัด ไม่มีสิทธิ์เมื่อยล้า .....ตรงๆๆ แรงๆๆ

    ทุกวันไม่ย่อท้อ จนสามารถเห็นผลในเวลาอันสั้น

    เทคนิคที่ถูกสอนเพิ่มเติม คือออกหมัดแย็บขวา ตามด้วยฮุคขวา และหมัดซ้าย และฮุคซ้ายตรงทะลวง ก้มหัวหลบ หรือหมัดซ้ายตรงสั้น ฟรุคเวิร์คแบบถอยหลัง หรือ ออกหมัดสั้น ฟรุคเวิร์คไปข้างหน้า

    นอกจากนี้ อาลียังต้องฝึกเพิ่มสมรรถภาพของร่างกายโดยการวิดพื้นวันละหนึ่งร้อยครั้ง สก๊อตจั้มวันละหนึ่งร้อยครั้ง


    กลับบ้านเหมือนใจจะขาด เจ็บปวดสาหัส นอนหลับได้เพียงไม่นานก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาเพราะเป็นตะคริวอย่างรุนแรง เจ็บปวดมากแต่ไม่เคยทำให้อาลีท้อถอยได้เลย

    การชกที่ถูกฝึกอย่างหนักหนาสาหัส ทำให้เขาพลิ้วดังสายลม ว่องไวเหมือนสายฟ้า สุขุมคมกริบ และปราดเปรียวย่ิงนัก

    การออกหมัดที่แม่นยำ รวดเร็ว หนักหน่วง กลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาละ

    "มูฮัมหมัด อาลี"


    ++++++++++++++++

    จิตใจที่แข็งแกร่ง พละกำลังจากการออกกำลังกาย จะกระตุ้นร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์


    มูฮัมหมัด อาลี

    บุคคลของตำนานหมัดมวย ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชามวยโลกที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20

    เขาเข้าร่วมการแข่งขันในระดับสมัครเล่น 60 ครั้ง
    เข้าร่วมการแข่งขันระดับอาชีก 160 ครั้ง

    ใน ค.ศ.1964 ถึง ค.ศ.1978 เวลา 14 ปี เขาอยู่ในตำแหน่ง แชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตถึง 3 ครั้ง

    ชนะคู่ต่อสู้ด้วย การออกหมัดที่เร็ว หนักหน่วง แม่นยำ ผสมผสานกับการเต้นฟุตเวิร์คที่แสนพลิ้วดังสายลม ศิลปะของความปราดเปรียวที่สมบูรณ์แบบ







    เค้าโครงจากหนังสือเรื่อง
    3 นาทีเปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่าเดิม ของหยางเช่อชิน
    รุ่งอรุณ สินธทียากร แปล
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย khonsurin; 06-05-2013 at 11:55.
    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

  2. #2
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197

    ลูกบอล...ของผม


    ลูกบอลของผม


    เมื่อผมอายุได้สี่ขวบ พ่อผมเป็นนักบอลได้ย้ายมาสังกัดสโมสรแห่งใหม่แห่งเมือง เซาเปาลู พ่อผมจินตนาการว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เมื่อมาอยู่จากเดิมที่ทีมฟุตบอลบอกว่าจะมีงานให้ทำทีดีอีกตำแหน่งหนึ่ง กลับกลายเป็นไม่มีงานทำ


    ในเมืองที่ไร้ญาติ ไม่รู้จักผู้คน ชีวิตในเมืองใหม่แห่งนี้จึงลำบากมาก พ่อแม่ผมต้องช่วยกันทำงานทั้งวัน เพื่อการอยุ่รอดของครอบครัว ทั้งบ้านแทบไม่มีเสื้อผ้าใส่ ฝนตกมาทีหนึ่งหลังคารั่วลงมารูแล้วรูเล่าจนทั่วบ้าน พวกเราต้องหลบอยุ่ตลอดคืนไม่ให้เปียกฝน บ้านไม้เก่าซอมซ่อสามารถส่องเห็นสิ่งในบ้านได้ตลอด อาหารบางวันก็ไม่มีตกถึงท้อง

    ผมรู้ว่าพ่อและแม่ยากจนมาก แต่ผมก็อดทนเพื่อให้ท้องอยู่ได้ ผมชอบฟุตบอลมากครับ มันเป็นเหมือนชีวิตผมเลย ผมตกลงจะเลือกเล่นฟุตบอลแบบพ่อที่เป็นฮีโร่ สำหรับผม

    ลูกบอลลูกแรกของผมหรือครับ มันคือเศษผ้ากับกระดาษหนังสือพิมพ์ที่นำเชือกมารัดด้านนอก ให้พอได้ลูกบอลลูกหนึ่ง แล้วใส่ลงในถุงเท้าเก่าๆ พอที่จะเป็นลูกบอลที่สามารถเตะได้ ....ว้าว...ผมมีลูกบอลลูกแรกแล้วละครับ


    รองเท้ากีฬาหรือครับ ไม่ต้องง้อเลย ผมและเพื่อนเตะมันด้วยสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา นั่นคือ เท้าเปล่า ครับ สนามฟุตบอลก็คือพื้นถนนขรุขระ แถวบ้านผมนั่นแหละครับ คิดดูก็แล้วกันว่า เวลาเตะบอลถุงเท้าสุดโปรดของผม แล้ว ฝุ่นจะฟุ้งขนาดไหน


    ความสนุกสนานของผมไม่ต้องพูดถึงเลย ผมไม่เคยเหน็ดเหนื่อยในการเตะบอล แต่บอลถุงเท้าต้องเพิ่มขนาดขึ้นทุกทีเลยละครับ เมื่อผมโตขึ้นๆ

    จากปีแล้วปีเล่า เวลาผ่านมาสามปีแล้ว ผมต้องเริ่มแบบภาระของครอบครัวแล้วละครับ ผมและเพื่อนสนิทได้ทำกล่องแข็งแรงปราณีตขึ้นมาเพื่อใส่เครื่องมือขัดรองเท้า อาที่อยู่่ข้างบ้านผมได้อุตส่าซื้ออุปกรณ์และยาขัดรองเท้าให้ เพียงเท่านี้ ผมก็พร้อมลุย ในการขัดรองเท้าที่สถานีรถไฟ แล้วละครับ

    งานขัดรองเท้า แม้จะเหน็ดเหนื่อยสำหรับผม แต่ผมหรือครับไม่เคยลืมฟุตบอลเลย ผมจะรีบกลับมาเตะบอลไม่เคยขาด

    วันหนึ่ง เลิกจากการทำงาน ผมเดินกลับบ้าน ไปเจอกระลามะพร้าวอยู่บนถนน ผมก็เตะกะลามะพร้าวแทนฟุตบอล วันนี้โชคดีมีโค้ชคนหนึ่งสนใจในฝีมือการเตะบอลของผมมาก เขาทำให้ผมประหลาดใจมาก ด้วยการให้ ลูกฟุตบอลของเขา แก่ผม

    "เฮ้...ไอ้หนู เอ้า เอาลูกบอลนี้ไป หวังว่าแต่คงเป็นราชาบอลโลก นะ"

    ลูกบอลลูกนี้ได้ทำให้ผมปลื้มปิติมาก ผมมีลูกบอลจริงๆ แล้วผมทุ่มเทแรงใจทั้งหมดให้กับลูกบอลลูกนี้ จนกระทั่งผมสามารถเตะลูกบอลเข้าถังน้ำที่วางไว้ไกลๆ ได้

    "ว้าว.....สุดยอดเลยเรา" ผมถึงกับอุทานในใจ


    เมื่ออายุได้แปดขวบ ผมถูกส่งตัวเข้าโรงเรียน แต่หลังจากเลิกเรียนก็หิ้วกล่องไปขัดรองเท้าที่สถานีรถไฟเพื่อที่จะหารายได้จุนเจือครอบครัว

    ผลการเรียนของผมอยู่ในเกณฑ์ธรรมดาครับ แต่ฝีเท้าในการเล่นฟุตบอลของผมไม่ธรรมดานะคะ มันพัฒนามาเรื่อยๆๆ จนวันหนึ่ง หลังจากที่ซ้อมบอลที่สนามถนนที่บ้าน มีคนตะโกณเรื่ยกผมว่า "เปเล่"

    ตั้งแต่นั้นมาผู้คนในเมืองนี้ ก็เรียกผมว่า "เปเล่" ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ไม่มีคำอธิบายใดๆเพราะ หลังจากผมอายุได้เก้าขวบ ทุกคนเรียกผมว่า "เปเล่" ทุกคน


    ต่อมาผมติดทีมชาติบราซิล ผมยิ่งต้องทำให้ดีที่สุด เข้มงวดกับตัวเองมากที่สุด ในระหว่างเพื่อนด้วยกันผมให้ความปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทีมเป็นพิเศษ เพราะเราต้องทำงานเป็นทีมเวิร์ค

    เวลาเตะลูกเตะมุม ผมจะคอยเตือนให้เพื่อนร่วมทีมแย่งลูกที่เตะมุมให้ได้เป็นคนแรก คอยตะโกนบอกตำแหน่งตกของลุกเตะมุม เพื่อนและผมต่างร่วมกันสร้างสรรค์ เสนอความคิด ข้อระวังในการเตะลูกเตะมุม

    จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมครับที่ อัตราความสำเร็จของลุกเตะมุมของผมจะสมบูรณ์แบบที่สุด และทีมชาติบราซิลก็ประสบความสำเร็จมากที่สุด


    ผม "เปเล่"


    ++++++++++++++++++

    เราทุกคนต้องเรียนรู้การมาปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกัน ที่สำคัญทุกคนมีส่วนร่วมมือกันทำและเป็นกำลังใจให้แก่กัน


    "เปเล่"ราชาฟุตบอลแห่งบราซิล ได้รับการยอมรับจากวงการฟุตบอลนานาชาติ ว่าเป็นนักกีฬาที่ดีที่สุดใน ศตวรรษที่ 20

    เขาได้รับการขนานนามว่า "ไข่มุกดำ" ไข่มุกที่จารไนจนกลายมาเป็น "ราชาฟุตบอล"

    เปเล่ อยู่ในวงการถึง 21 ปี นับแต่ ค.ศ. 1956 - 1977
    แข่งขันฟุตบอล จำนวน 1,366 นัด
    ทำประตูได้ 1,281 ประตู

    เคยลุยเดี่ยวไปทำประตูในเขตคู่ต่อสู้ถึง 8 ครั้ง

    ทำสถิติ ทำประตุได้มากว่าปีละ 100 ครั้ง ติดต่อกันนานถึง 3 ปี จนปัจจุบันยังไม่มีการทำลายสถิตินี้ได้เลย





    เค้าโครงจากหนังสือเรื่อง
    3 นาทีเปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่าเดิม ของหยางเช่อชิน
    รุ่งอรุณ สินธทียากร แปล
    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

  3. #3
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197

    กระเป๋า....ที่แม่เย็บให้


    กระเป๋า....ที่แม่เย็บให้



    วันนี้วันที่ชาติ ทำสิ่งที่ภาคภูมิใจ ให้กับแม่คนเคียวของเขา เพราะเขาจบเป็นนายแพทย์ ชาติคิดถึงตอนเด็ก เมือ่เริ่มเข้าเรียน ทุกคนมีกระเป๋าเรียนใบใหม่ แต่สำหรับชาติแล้ว


    แม่นั่งเย็บกระเป๋าด้วยมือ จากเศษผ้าที่พอหาได้อย่างปราณีต ร่องรอยการเย็บมือแบบเรียบเนียน แม้ว่าต้องซื้อเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน จนเงินในบ้านหมด ไม่สามารถซื้อกระเป๋าให้ลูกได้อีกแล้ว แม่เลยจำต้องเย็บกระเป๋าด้วยเศษผ้าเก่าๆ ให้ชาติได้ไปโรงเรียน


    โรงเรียนเปิดภาคเรียน ชาติใส่หนังสือในกระเป๋าผ้าของแม่ วิ่งตรงไปเข้าแถว ยืนท่ามกลางเพื่อนๆ ที่ร่วมชั้นเรียนที่ทุกคนมีกระเป๋าใบใหม่

    ชาติรู้สึกกระอักกระอ่วน คนอื่นเขามีกระเป๋าใบใหม่มาอวดกัน แต่เขามีแต่กระเป๋าผ้าจากเศษผ้าขี้ริ้ว เพื่อนๆพากันมองดูเขา บางคนจับกลุ่มนินทา


    เมื่อกลับถึงบ้าน ชาติ วิ่งมาบ้านพร้อมโยนกระเป๋า โครม

    "ผมจะไม่สะพายกระเป๋าผ้าขี้ริ้วนี้อีกแล้ว"

    สีหน้าแววตาของชาติ บอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจมาก

    แม่เห็นชาติหัวฟัดหัวเหวี่ยงมา ค่อยถามว่า "มีอะไรหรือลูก"

    "เพื่อนผมมีกระเป๋าใหม่ทุกคน มีผมคนเดียวมีกระเป๋าแบบนี้ครับ"

    แม่เข้ามากอดชาติไว้

    "กระเป๋ามีไว้ใส่หนังสือ แล้วมีส่วนทำให้เรียนดีหรือเปล่า"

    ชาตินิ่งคิดตาม

    "กระเป่าไม่ใช่จุดประสงค์ของการเรียน เพราะการเรียนคือเรียน ถ้ากระเป๋าใหม่แล้วไม่เรียนก็จะสอบตก นะลูก แล้วกระเป๋าใหม่จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ" แม่ปลอบ


    " ถ้ามีกระเป๋าเก่าจากผ้าใบนี้ แต่ทำให้ลูกของแม่สอบได้คะแนนดี ก็จะยิ่งทำให้คนเลื่อมใส ไม่ใช่หรือ"

    ชาติคิดได้ เขาตำหนิตัวเองว่าไม่ควรใช้กระเป๋า มาเป็นเครื่องแสดงอารมณ์


    เมื่อความสับสนวุ่นวายสงบลง ชาติ ก็สะพายกระเป๋าใบนั้นไปโรงเรียนอย่างสบายใจ

    ขยันเรียนมากขึ้น และสอบได้สูงสุดเป็นที่หนึ่งของชั้น ขณะที่นักเรียนที่มีกระเป๋าใบใหม่กับทำคะแนนอย่างธรรมดา

    ชาติได้รับรางวัลเป็นอุปกรณ์การเรียน สำหรับนักเรียนที่เรียนดี


    เวลาผ่านมาความมุมานะของชาติ ทำให้เขาสอบได้คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ได้ทุนการศึกษาจนสามารถเรียนจบรั้วมหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนที่เป็นอันดับหนึ่ง อีกหมือนกัน

    ++++++++++++++++++++++

    ความยากจนความขาดแคลนไม่น่ากลัว ถ้ามีจิตวิญญาณและความนึกคิดในการต่อสู้กับอุปสรรค ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก สิ่งของภายนอกไม่อาจซ่อนสิ่งดีๆ ที่อยู่ภายใต้เงาแห่งจิตใจได้



    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย khonsurin; 07-05-2013 at 06:01.
    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

  4. #4
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197

    เพราะเรา....เพื่อนกัน


    เพราะเรา....เพื่อนกัน



    ในห้องเรียนของโรงเรียนนี้ ทุกวันจะมีเสียงหัวเราะ มีเรื่องเล่ามากมาย แต่ละคนสดใน ใบหน้าของเด็กนักเรียนมีความเป็นสุข


    วันหนึ่งธนา ได้ขับมอเตอร์ไซด์ไปซื้อของให้แม่ในตลาด เขาขี่ไปตามทาง ขณะนั้นเอง รถสามคันได้แซงกันมาอย่างเร็วมาก คนที่สามได้กินพื้นที่มาอีกเลนหนึ่ง จนถึงตัวของธนาที่ขี่มอเตอร์ไซด์จะไปซื้อของ

    เสียงรถ เสียงการชนกัน ทำไห้ธนาสลบไป....


    เขามารู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ด้วยกระดูกขาที่หักลง ต้องนอนถ่วงน้ำหนักอยู่เป็นเดือน แม่ต้องทำงานต้องลาออกจากงานมาเฝ้าเขา แต่ทั้งบ้านมีแม่กับเขาเพียงสองคนเท่านั้นเอง เมื่อแม่ขาดรายได้ ก็ไม่มีรายได้อะไรจะมาเสริม

    ธนาร่ำร้องอยากกลับบ้าน แต่เป็นไปไม่ได้ ดีว่าเพื่อนพากันมาเยี่ยม ดิเรก บอกให้แม่ของธนาไปทำงานอีกครั้ง รับปากว่าจะช่วยกันมาดูแลธนา ให้


    ทำให้ แม่ของธนากลับไปทำงานหารายได้อีกครั้ง ดิเรก และเพื่อนร่วมห้อง ได้ผลัดกันมาเฝ้า มาเยี่ยมเยียน มาทบทวนบทเรียน เสียงหัวเราะเริ่มมีจากปากของธนาอีกครั้งหนึ่ง


    "ขอบใจนะเพื่อน"

    เพื่อนๆ ผลัดกันมาเฝ้าธนา รอยยิ้มเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


    เวลาผ่านไป เพื่อนไม่ยอมทิ้งเพื่อน วันฟ้าสดใสได้โปรยปรายมาถึงอีกครั้งหนึ่ง

    วันนี้ ดิเรก ได้ประคอง ธนา กลับมายังอ้อมกอดของห้องเรียนอีกครั้งหนึ่ง

    เสียงหัวเราะ เสียงกระซิบ เสียงดีใจ เสียงคุยกันลั่น กลับมาเยือนห้องเรียนแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง


    เพื่อนย่อมเป็นเพื่อนเสมอ



    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

  5. #5
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197

    เสียงเพลง ยามค่ำคืน


    เสียงเพลง ยามค่ำคืน



    โชแปง(CHOPIN) กวีแห่งเปียโนผู้อ่อนไหว แต่ไม่หวั่นไหวภายใต้เสียงอึกทึก


    เสียงเปียโนในค่ำคืนที่ดึกสงัดของฤดูใบไม้ร่วงได้ปลูกให้บิดาของโชแปงตื่นจากหลับไหล เขาปลุกเจติน่าภรรยาให้ลุกขึ้นมาฟัง


    "จัสติน่า ฟังสิ ใครเล่นเปียนโน อยู่ข้างล่างยามน้นะ

    จัสติน่าเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้ลุกขึ้น

    "น่าจะเป็นลุยซ่า นะคะ เดี๋ยวฉันลงไปดูเองค่ะคุณ"

    ทุกวันจัสตินาจะสอนเปียโนให้กับลุยซ่า ลูกสาวที่เป็นพี่สาวของโชแปง แต่ไม่เคยสอนใหโชแปง เพราะคิดว่าอายุยังน้อยมาก แม้ว่าโชแปงจะอยากเรียนเปียนโนเป็นพิเศษ ก็ตาม


    จัสตินาสวมเสื้อคลุมทับชุดนอน ลงบรรได้มาชั้นล่าง เพื่อเรียกให้ลุยซ่าได้รีบไปนอน

    แต่เมื่อจัสตินาได้เพ่งมองไป กับไม่ใช่ลุยซ่า กลายเป็นโชแปง ลูกชายคนเล็กของเธอ

    โชแปงที่จัสตินาไม่เคยสอนมาก่อน กับเล่นเปียโนได้อย่างชำนาญ คล่องแคล่ว จนจัสตินาเกือบไม่เชื่อสายตาตนเองเอง

    "ใครสอนลูกดีดเปียโนวันนี้"

    จัสตินาถามขึ้นหลังจากที่ย่องเดินไปเบื้องหน้าของโชแปง

    "ไม่มีใครสอนหรอกครับ ตอนคุณแม่สอนให้พี่ลุยซาให้ดีดเปียโน ผมฟังอยู่ข้างๆ แล้วก็เลยจำได้ครับ"

    จัสติน่าได้ยินรู้สึกตื้นตันมาก จนน้ำตาคลอเบ้า ลูบผมโชแปง

    "ลูกแม่ ดีดเปียโนให้แม่ฟังอีกครั้งหนึ่งนะ แม่อยากฟัง ได้ไหม"


    โชแปงตอบรับด้วยความยินดี คล่อยๆ พรมนิ้วมือลงบนเปียโน แล้วบรรเลงเพลงยามค่ำคืนนี้ด้วยทำนองที่รื่นหู

    จัสตินาได้ฟังแล้วถึงกับน้ำตาไหล นึกไม่ถึงว่า ลูกชายที่ไม่เคยมีใครสอนให้เล่นเปียโนเลย อาศัยเพียงการฟังเพียงอย่างเดียว กับทำเรื่องน่าตื่นเต้นยินดียิ่งนัก


    สามารถจดจำจังหวะได้ทั้งหมด สามารถเล่นเปียโนได้อย่างคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติไม่ผิดตัวโน๊ตเลย

    "โอ้...พระเจ้า ลูกช่างมีพรสวรรค์หลือเกิน"

    เธอตรงเข้ากอดโชแปง แล้วพูดว่า

    "ลูกแม่ แม่จะสอนลูกเอง ตั้งแต่นี้ต่อไปแม่ขอสัญญาว่าจะสอนลูก ต่อไปลูกต้องเล่นเปียโนยามค่ำคืน ทุกคืนได้ไหม"

    โชแปงถึงกับร้องไชโย

    จากนั้นไม่นาน
    จัสตินา จึงตัดสินใจส่งโชแปงไปเรียนเปียโน ตั้งแต่อายุ 6 ขวบกับ Wojciech Zywny ครูผู้ชื่นชอบดนตรีของ Bach , Mozart และ Beethoven ตอนเริ่มเรียนโชแปงรู้สึกเป็นการเรียนที่หนักมาก จนเหนือยใจ แต่ว่าเขากลับเข้าใจในเวลาอันรวดเร็วเพราะเขาฟังอย่างตั้งใจในขณะที่ครูสอนในห้องเรียน

    พอตอนเย็นกลับบ้าน โชแปงได้ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ง่ายขึ้นและยังจดจำเนื้อหาที่ครูสอนได้อย่างแม่นยำไม่มีตกหล่น

    ทุกครั้งที่มีเสียงเพื่อนในชั้นเรียนส่งเสียงรบกวน แต่ไม่ทำให้โชแปงเสียสมาธิได้เลย เขาสามารถวางเฉยได้เสมอ เพราะสมาธิของเขาจดจ่อกับบทเรียน

    และเมื่อเรียนได้เพียงหนึ่งปี อัจริยะผู้นี้ก็ก็แต่งเพลงได้ คือเพลง Polonaise in G Mino และออกแสดงต่อสาธารณะชนครั้งแรกในปีถัดมา ซึ่งมีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น

    การแสดงครั้งแรกของเขา เขาได้บรรเลงเพลงคอนแชร์โตประพันธ์โดย Gyrowetz นิ้วที่พลิ้วไหวและดนตรีที่มีอารมณ์ทำให้ชื่อเสียงของโชแปงเริ่มเป็นที่ร่ำลือ และเมื่ออายุสิบห้าขวบ เขาก็ได้บรรเลงเพลง Rondeau for Piano, Opus 1 ผลงานประพันธ์ชิ้นแรกของเขาต่อหน้าสาธารณชน และชื่อเสียงของโชแปงก็ร้อนแรงตั้งแต่อายุเพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้น จนได้รับการขนานนามว่า “โมซาร์ตคนที่ 2” (second Mozart)


    +++++++++++++++++

    ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ขอเพียงแต่มีสมาธิ ตั้งใจฟังและจดจ่อต่อสิ่งนั้น


    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

  6. #6
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ เปี๊ยกครับ
    วันที่สมัคร
    Apr 2012
    กระทู้
    156
    ขอบคุณครับคงเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •