...พี่ยังจำวันแรกที่เรารู้จักกันได้เสมอ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม น้องเป็นพนักงานใหม่ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่ทำงานของพี่ เย็นวันนั้นน้องเลิกงานแล้วฝนก็ตกลงมาพอดี พี่ก็ยืนมองอยู่ฝั่งตรงกันข้าม โดยไม่ได้สนใจมากนัก เพื่อนๆในที่ทำงานออกมาแซวว่า
ยืนมองสาวอยู่ล่ะสิท่า ทำไมไม่จีบเลยหล่ะ เพื่อนถาม
''จีบสาวไม่เป็นว่ะ!''
จะไปยากอะไร ก็เอาร่มไปให้ยืมสิ พอเขาเอาร่มมาคืนก็จะมีโอกาสแบบเต็มๆ เพื่อนยุอีก
''จริงอ่ะ''
จริงเซ่! เพื่อนตอบแบบคำคาญในความไม่กล้าของพี่
แล้วพี่ก็เอาร่มไปให้น้องยืม ดูท่าทางน้องก็ไม่อยากรับหรอก จะด้วยเพราะอะไรไม่ทราบได้ ในที่สุดน้องก็เอาเพราะต้องรีบกลับบ้าน หลังจากวันนั้นน้องก็นำร่มมาคืน แล้วเราก็มีโอกาสได้คุยกันมากขึ้น
นานวันเข้าเราเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่ทำงานอยู่ตรงข้ามกันนั่นเอง เรามีโอกาสออกไปกินข้าวตอนเที่ยงด้วยกันบ่อยขึ้น นานๆครั้งที่จะได้กินข้าวตอนเย็นด้วยกัน เพราะน้องต้องรีบกลับบ้าน พ่อแ่ม่เป็นห่วง
ตอนแรกๆพี่ไม่ได้ชอบน้องเลย...จนเวลาล่วงเลยผ่านมาเป็นปี พอคบกันนานวันเข้า ความคุ้นเคยก็กลายเป็นความสนิทสนม แล้วในที่สุดพี่ก็แพ้ใจน้อง ความดีของน้อง ความเป็นห่วงเป็นใยคอยเอาใจใส่ดูแลที่ทำให้พี่ต้องยอมแพ้ใจน้อง เราตั้งใจว่าทำงานสักพักเก็บเงินได้บ้างสักก้อนแล้วเราก็จะแต่งงานกัน...
วันหนึ่งน้องชวนพี่ไปเที่ยวที่บ้านของน้อง ซึ่งมี พ่อ แม่ และตาวัยชราอยู่ที่บ้าน ส่วนน้องสาวของน้องไปเรียนที่ต่างจังหวัด พอไปถึงบ้านน้องพี่ชักใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะมีญาติๆของน้องมากันเต็มบ้านไปหมด สายตาของทุกคนต่างมองมาที่พี่เพียงคนเดียว ทำเอาพี่นั่งแทบไม่ติด ยิ่งเวลาพูดสำเนียงภาษาของเรายังไม่เหมือนกันอีก มันยิ่งทำให้พี่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนสัตว์ประหลาด แต่เมื่อได้พูดคุยกับพ่อแม่ของน้องแล้วพี่ก็รู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดว่า ในเมื่อลูกชอบพ่อแม่ก็ไม่ขัดขวางหรอก แต่ทำให้ถูกต้องตามประเพณีก็แล้วกัน(ถึงพ่อแม่จะไม่ชอบด้วยก็เถอะ) แล้วพี่ก็มีโอกาสไปเที่ยวบ้านน้องบ่อยขึ้น ช่วยทำงานทั่วไปทั้งๆที่ทำไม่เป็น ไปใถนาพี่ทำรถใถนาคว่ำจมน้ำ พ่องน้องต้องเสียเงินค่าซ่อมรถใถแทนที่จะได้งาน ไห้ถางป่าพี่ก็ทำมีดหัก ไปเกี่ยวข้าวก็ไม่ทันเด็ก แดดก็ร้อนเหนื่อยก็เหนื่อยแถมอายเด็กๆอีกต่างหาก พี่ก็ยอมทน
...แล้ววันที่พี่ต้องจำไปตลอดชีวิตก็มาถึง เมื่อญาติๆของน้องเริ่มพูดถึงความไม่เข้าท่าของพี่ พี่เริ่มไม่ค่อยกล้าคุยกับใครๆเลยในบ้านน้อง พี่เลยคุยกับน้องว่าจะเอาอย่างไรดีกับเรื่องของเรา
''แต่งงานแล้วเราจะไปเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่อยู่ด้วยกันนะน้อง''
หนูคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกพี่ น้องบอก
''อ้าวทำไมล่ะก็เราจะแต่งงานกันอยู่แล้วนี่นา''
มันก็จริงและหนูก็รักพี่มาก แต่ว่าตั้งแต่เรียนจบมาหนูยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่เลย พี่ต้องช่วยทำงานที่บ้านเพราะบ้านเราไม่มีลูกชาย น้องตอบ
พี่ก็เข้าใจและได้แต่ซึม ระยะหลังพี่เริ่มไม่ค่อยไปบ้านน้อง ซึ่งก็เข้าทางญาติๆของน้องที่คอยจะกันเราอยู่แล้ว พี่กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน พี่เลยตัดสินใจไปหาน้องอีก พร้อมกับยื่นคำขาดถ้าน้องไม่ไปอยู่กับพี่งานแต่งก็จะไม่มีเกิดขึ้น คำพูดของพี่ทำให้น้องถึงกับน้ำตาซึม พี่จดจำแววตาของน้องวันนั้นได้ดี น้องคงจะเจ็บปวดมาก พี่เองก็เช่นกัน ถ้าน้องต้องการจะอยู่กับพ่อแม่พี่ก็จะไป ไปทั้งที่ใจยังรักอาลัย
...พี่จำได้ว่าวันนั้นน้องน้ำตาใหลพราก ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากน้องเลยสักคำ พี่กัดฟันเดินก้มหน้าร้องให้อย่างไม่อายใครโดยไม่เิงยหน้ามองอะไรเลย ลาก่อนน้องรัก...
.....จากวันนั้นถึงวันนี้สิบปีกว่าแล้วสินะ ที่พี่ไม่เคยเหยียบไปที่บ้านของน้องอีกเลย และไม่เคยพบน้องเลยสิบปีที่ผ่านมา แต่น้องรู้มั้ยว่าพี่ยังรักและคิดถึงน้องเสมอและพี่ก็ยังไม่มีใคร พี่รู้สึกผิดต่อน้องมากได้แต่อวยพรให้น้องมีความสุขและสมหวังในชีวิตตลอดไป
สายน้ำไม่ใหลกลับ ฉันไดก็ฉันนั้น
...ลาก่อนที่รัก.....
หากน้องได้อ่านข้อความนี้ คงจำพี่ได้นะคนดี
...จะกี่ปีเดือนวัน ที่ผันผ่าน
จะอีกนานแค่ใหน เมื่อไหร่หนอ
ผ่านปีแล้วปีเล่า เฝ้าแต่รอ
อ้อนวอนขอ รักมาให้ ใจฉันที...
...อยากจะมีความรัก กับเขาบ้าง
แม้ต้องร้างขื่นขม ให้ตรมหมอง
ถึงแม้รักต้องผิดหวัง น้ำตานอง
ยังอยากลองมีรัก สักครั้งนึง...
...ความรักเอยอยู่หนใด ในฟากฟ้า
เจ้ารักจ๋าหรืออยู่ไกล ในแดนฝัน
จะรอคอยค้นหาเจ้า เฝ้ารำพัน
เพราะตัวฉันยังไร้รัก สลักใจ..
Bookmarks