ปกป้องลูก . . . จากเชื้อราผิวหนัง

ในช่วงที่อากาศร้อนมักจะทำให้เหงื่อออกมากจนเกิดการอับชื้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย จึงทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ผิวยังบอบบาง และสนุกกับการวิ่งเล่นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้น เวลาที่ลูกมีเหงื่อออกมาก คุณพ่อคุณแม่จึงต้องดูแล และรักษาความสะอาดผิวหนังของลูกน้อยให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อราที่ผิวหนัง

การติดเชื้อราที่ผิวหนัง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีอาการและการรักษาที่แตกต่างกันไป

กลาก (Dermatophytosis)

เกิดจากการได้รับเชื้อจากการสัมผัสผู้ที่เป็นโรคหรือติดจากสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว หรือถอดรองเท้าเล่นในพื้นดินที่มีเชื้อรา

อาการ : ผิวหนังเป็นผื่นแดง คัน เป็นวงมีขุย หรือตุ่มแดง ที่ชอบพบบริเวณหน้า ลำตัว แขน ขา แต่หากเป็นผื่นบริเวณศีรษะจะเรียกว่า ชันนะตุ (Kerion) เป็นก้อนนูน อาจมีตุ่มหนอง พอแตกจะมีน้ำเหลืองเยิ้ม ซึ่งอาจพบผมร่วงหรือมีต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย

รักษา : ถ้าเป็นกลากที่ผิวหนังให้ใช้ยารักษาเชื้อราทาวันละ 2 ครั้ง ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ส่วนกลากบริเวณศีรษะต้องกินยาร่วมด้วย โดยยาหลักในเด็กคือ กริซีโอฟุลวิน (Griseofulvin) กินนาน 6-8 สัปดาห์ และสระผมด้วยแชมพูที่มีตัวยานี้เป็นส่วนผสมด้วย

ป้องกัน : ล้างมือและเท้าของลูกให้สะอาดทุกครั้งหลังการเล่นอาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำและสระผมแล้ว ควรเช็ดตัวและผมให้แห้ง โดยเฉพาะก่อนนอน เพื่อไม่ให้เกิดการอับชื้น ระวังอย่าให้ลูกคลุกคลีกับผู้ที่เป็นโรค และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว หวี ผ้าปูที่นอน หมอน เป็นต้น

เกลื้อน (Tinea versicolor)

พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบมากในช่วงอากาศร้อนและในเด็กที่มีเหงื่อออกมาก

อาการ : ผิวหนังจะเป็นด่าง เป็นวงสีขาว สีแดง หรือสีขี้เ ถ้าเป็นขุยละเอียดโดยเริ่มจากจุดเล็กๆ ถึงเป็นวงใหญ่ พบตามลำตัว แขน ขา หน้า หรือคอ มักจะไม่มีอาการคัน

รักษา : ใช้ยาทาสำหรับโรคเกลื้อน เช่น โซเดียม ,ไทโอ ซัลเฟต, เซเลเนียม ซัลไฟด์ (Selenium sulfide) หรือยา กลุ่มอิมิดาโซล (Imidazoie) ทาวันละ 2 ครั้ง นานประมาณ 2-4 สัปดาห์

ป้องกัน : รักษาความสะอาดและความแห้งของร่างกายและเสื้อผ้าอยู่เสมอ อย่าใส่เสื้อผ้าที่อับหรือเปียกเหงื่อนานๆ หลังอาบน้ำแล้วให้เปลี่ยนเสื้อใหม่ อย่าใส่เสื้อตัวเดิมที่อับเหงื่อ

ยีสต์ (Candidiasis)

พบได้บ่อยในเด็กตั้งแต่แรกเกิด-อายุ 3 ปี โดยสาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากการติดเชื้อแคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) นอกจากนี้ ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน ในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเด็กที่อ้วนมากจะทำให้เป็นมากขึ้น

อาการ : เป็นผื่นแดงเปื่อยบริเวณข้อพับ คอ รักแร้ ขาหนีบ ก้น หรือตามบริเวณที่อับชื้นของร่างกาย ส่วนในทารกแรกเกิดจะมีผื่นในช่องปากตามกระพุ้งแก้มหรือเพดานปาก ลักษณะเป็นแผ่นฝ้าสีขาวคล้ายน้ำนม

รักษา : ใช้ยากลุ่มอิมิดาโซล (Imidazole) ทาวันละ 2 ครั้ง นานประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถ้าเป็นภายในช่องปากใช้ยาเจนเซียน ไวโอเลต (Gentian violet) หรือใช้ Nystatin suspension ทาวันละ 1-2 ครั้ง ประมาณ 1-2 สัปดาห์

ป้องกัน : หากลูกยังใส่ผ้าอ้อมควรระวังอย่าให้อับชื้น หลังอาบน้ำควรทำความสะอาดและซับตัวให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณข้อพับ ขาหนีบ และตามซอกไม่ควรโรยแป้งบริเวณที่มีผื่น เพราะเวลาเหงื่อออกจะทำให้ผิวบริเวณที่โรยแป้งมีความอับชื้นมากขึ้น

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าโรคติดเชื้อราทางผิวหนังทั้ง 3 ชนิด จะมีอาการใกล้เคียงกัน แต่หากลูกเริ่มมีอาการหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนัง คุณพ่อคุณแม่ควรรักษาความสะอาดผิวหนังของลูกให้ดี พาลูกไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อจะได้วินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง และไม่ควรซื้อยามาทาให้ลูกเอง เพราะอาจเป็นอันตรายได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Mother & Care ฉบับเดือนพฤษภาคม 2552