ถึงแม้ว่าระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ทุกวันนี้จะมีความสะดวกทันสมัยมากขึ้น
เพราะมีทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดินให้บริการแก่คนเมืองหลวงแล้ว แต่ขนส่งมวลชนระบบรางเช่นนี้ ก็ยังเพียงพอรองรับต่อผู้โดยสารส่วนน้อยเท่านั้น เพราะเส้นทางรถไฟฟ้ายังครอบคลุมอยู่ไม่กี่พื้นที่ของกรุงเทพฯ เท่านั้น ฉะนั้น ‘รถเมล์’ จึงยังเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับคนกรุงที่ไม่มีรถส่วนตัวใช้อยู่วันยังค่ำ
แม้การโดยสารรถเมล์ จะมีข้อดีในแง่ความประหยัด แต่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็ต้องทนกับความเบียดเสียดยัดเยียด โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน รถเมล์บางสายก็รอแล้วรอเล่า นานเหลือแสนกว่าจะเสด็จมาจอดที่ป้ายได้ แต่ก็ไม่มีอะไรแย่เท่ากับความไม่สุภาพ ไร้มารยาท และไม่เคารพกฎจราจรของทั้งคนขับ และกระเป๋ารถ ซึ่งทุกวันนี้หาได้ยากมากที่เราจะเจอะเจอโชเฟอร์ และกระเป๋ารถที่มีมารยาทดีจริงๆ ทำให้ต้องหวนนึกไปถึงเมื่อครั้งอดีตที่กรุงเทพฯ มีรถเมล์สายแรกวิ่งให้บริการที่เรียกว่า ‘รถเมล์ขาวของนายเลิศ’ ว่ากันว่าทั้งคนขับ และกระเป๋านั้นมีมารยาทสุภาพอ่อนโยนเป็นที่สุด
ตามประวัติรถเมล์ขาวของนายเลิศ นับเป็นรถเมล์สายแรกที่ให้บริการในกรุงเทพฯ
เริ่มทำการเดินรถมาตั้งแต่ปี 2451 ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ที่เรียกว่า รถเมล์ขาว ก็เพราะคนสมัยก่อนจะเรียกสายรถเมล์ตามสีของรถ ซึ่งแต่ละสีก็เป็นของแต่ละบริษัท
มีทั้ง ขาว แดง เขียว เหลือง เส้นทางแรกที่รถเมล์ขาวนายเลิศวิ่งคือ
‘ยศเส – ประตูน้ำ (ปทุมวัน)’ จากนั้นก็มีการขยายเส้นทางเรื่อยมา เช่น
สายสีลม – ประตูน้ำ , บางลำพู – ประตูน้ำ น่าสังเกตว่าเส้นทางวิ่งรถของ
รถเมล์นายเลิศ จะต้องผ่านประตูน้ำทุกสายเพราะสมัยนั้น ประตูน้ำ หรือ ปทุมวัน คือศูนย์กลางย่านชุมชน และการคมนาคมมาตั้งแต่ต้นสมัยรัชกาลที่ 5 รวมทั้งมีตลาดขายสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งก็คงเหมือนกับ อนุสาวรีย์ชัยฯ ในสมัยนี้
ย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลที่ 4 บริเวณดังกล่าวยังไม่มีการติดตั้ง ‘ประตูน้ำ’ แต่อย่างใด การใช้เรือจึงสะดวกสบาย เพราะชาวบ้านสามารถแล่นเรือเข้าไปตามคูคลองต่างๆ ได้ตลอด แต่พอถึงต้นสมัยรัชกาลที่ 5 มีการติดตั้งประตูน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำในคลอง การใช้เรือจึงไม่สะดวกเหมือนเคย เพราะเจ้าของเรือต้องมารอเข้าคิวให้ประตูน้ำเปิดอยู่หลายชั่วโมง ด้วยเหตุนี้ ‘นายเลิศ’ ซึ่งดำเนินกิจการ เรือเมล์ขาว วิ่งในคลองมาก่อน ทั้งคลองแสนแสบ คลองบางกะปิ และคลองพระโขนง ได้มองเห็นลู่ทางธุรกิจ จึงเปิดกิจการรถเมล์ขึ้น เพื่อให้ความสะดวกแก่ประชาชนที่ใช้เรือ และต้องมาใช้รถโดยสารต่อ ซึ่งผู้โดยสารที่มาใช้รถเมล์ หรือเรือเมล์ของนายเลิศก็เพียงซื้อตั๋วครั้งเดียว ก็สามารถนั่งต่อทั้งรถทั้งเรือได้ในวันเดียวกัน (โปรโมชั่นแบบนี้ เค้าคิดได้ เค้ามีมาตั้งแต่สมัย ร.5 โน่นแล้ว)
นายเลิศ หรือ เลิศ สมันเตา นับเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในกิจการรถโดยสาร และเรือรับจ้างมาตั้งแต่แรก เริ่มจากการเป็นพ่อค้าจักรยานมาก่อนในยุคที่เมืองไทยยังไม่มีรถยนต์มีแต่รถม้ารถลาก แกก็ใช้ม้ามาวิ่งลากรถ ทำเป็นรถม้ารับจ้างทั่วไป พอรถยนต์เข้ามาในเมืองไทยแล้ว ช่วงปลายรัชกาลที่ 5 แกจึงสั่งรถเข้ามาดัดแปลงวิ่งเป็นรถรับจ้าง ก่อนจะพัฒนามาเป็น รถเมล์ประจำทาง ต่อมา
ยี่ห้อรถที่ นายเลิศ สั่งเข้ามาก็คือ ‘ยี่ห้อฟอร์ด’ โดยทำการออกแบบดัดแปลงรถเมล์ด้วยตัวเอง ต่อเป็นตัวถังไม้ พื้นไม้ ทางขึ้นลงอยู่ตรงท้ายรถ ทำสีขาวทั้งคัน คนทั่วไปจึงเรียกติดปากว่า ‘รถเมล์ขาว’ ส่วนสัญลักษณ์ของรถเป็น ตราขนมกง คือเป็นวงกลมมีกากบาทอยู่ข้างใน ในสมัยแรกนั้นรถเมล์ขาวนายเลิศ จะมีขนาดค่อนข้างเล็กและโปร่ง จุผู้โดยสารได้ 15 – 20 คน ที่นั่งเป็นแถวยาว 2 แถว คงเหมือนกับรถสองแถวสมัยปัจจุบัน แต่ต่อมาก็มีการปรับปรุงรถเมล์ให้มีขนาดใหญ่ แข็งแรง มีความปลอดภัยต่อผู้โดยสารมากขึ้น ในยุคที่กิจการเฟื่องฟูสุดๆ บริษัทนายเลิศมีรถเมล์ให้บริการมากถึง 800 คันเลยทีเดียว
สาเหตุที่มีคนให้ความนิยมมาก ทั้งๆ ที่เวลานั้นก็มีรถเมล์หลายบริษัทให้บริการเช่นกัน คงเป็นเพราะ นายเลิศ ให้ความสำคัญต่อการเอาใจใส่พนักงาน ทั้งคนขับและกระเป๋า มีการฝึกอบรมให้มีมารยาทต่อผู้โดยสารนั่นเอง จึงทำให้รถเมล์ขาวนายเลิศครองใจมหาชนได้อย่างมาก ส่วนการวิ่งให้บริการนั้นก็ยังก้าวล้ำกว่าใคร เพราะในสมัยนั้นรถเมล์ทุกสายจะวิ่งตั้งแต่เวลา ตี 5 ถึง 3 ทุ่มเท่านั้น แต่ต่อมารถเมล์ขาวนายเลิศสาย 2 คือ บางนา – ปากคลองตลาด ก็นับเป็นสายแรกที่วิ่งบริการตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ตามประวัติ รถเมล์ขาวนายเลิศ ก็แทบไม่เคยมีสถิติเกิดอุบัติเหตุแก่ผู้โดยสารเลย
นอกจากจะประสบความสำเร็จในกิจการเดินรถอย่างงดงามแล้ว นายเลิศ ยังเป็นบุคคลที่มีจิตใจงดงามน่าเอาเยี่ยงอย่าง โรงพยาบาลเลิศสิน ที่เรารู้จักในปัจจุบันนี้ นายเลิศ ก็เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาเอง นอกจากนี้ในปี 2460 สมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ นายเลิศ ยังนำเรือเมล์ขาวออกวิ่งช่วยเหลือชาวนาแถวคลองแสนแสบให้ขนข้าวของ วัวควายหนีน้ำโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด คุณความดีนี้เองทำให้ ในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์แก่ นายเลิศ ให้เป็น เสวกตรี พระยาภักดีนรเศรษฐ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสืบไป
ทุกวันนี้ รถเมล์ขาวนายเลิศ ได้กลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ไปแล้ว เพราะรถเมล์สายต่างๆ ในอดีตได้ถูกพัฒนากลายมาเป็น ขสมก. ดังเช่นทุกวันนี้ แต่สำหรับเราๆ ที่ช่างได้รับความประทับใจอย่างเหลือล้นกับการใช้บริการ
รถประจำทาง ขสมก. อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รู้สึกอยากจะขี่ ไทม์แมชชีน หรือเดินทะลุกระจกในละคร ‘ทวิภพ’ ไปนั่ง รถเมล์ขาวนายเลิศ สักครั้งจริงๆ จะได้เปรียบเทียบกันให้เห็นๆ เลยว่า มาตรฐานบริการรถเมล์ ในยุค 100 กว่าปีที่แล้วกับปัจจุบันมันจะต่างกันราวเหวกับฟ้าขนาดไหน
เอกสารอ้างอิงการเขียน : ย้อนรอยกรุงเทพฯ. เทพชู ทับทอง. สำนักพิมพ์สุวีริยาสาส์น. กรุงเทพฯ , 2546
สิ่งแรกในเมืองไทย. สุวิทย์ วงศ์วิริยะ. สำนักพิมพ์เอกลักษณ์. กรุงเทพฯ , 2533
Bookmarks