เป็นความประทับใจอยากบอกต่อ..ถือว่าเว่าสู่กันฟังเนาะค่า..ตอนเรียนป.1- ป.4 เข่าโรงเรียนอยู่กับบ้าน กะเลยบ่ต้องห่อเข่าไปกินโรงเรียน พักเที่ยงกะแล่นแข่งกันแตกซวดๆเข่ามาหาเข่ากินอยู่บ้าน คิดพ่อแล่วเฮ็ดไห่นั่งยิ่มได่คือกันเด่ มือได๋ตอนเซ่าก่อนไปโรงเรียนได่กินเข่ากับหมกปลา หมกกบ คิดนำฮ่อมๆยุ ย่านมันเหมิดก่อน เสียงระฆังแม่งๆ ท่อนั่นล่ะ แล่นหมุนติ้วๆก่อนหมู่โลด คิดฮอดตอนเป็นเด็กน้อยคั่ก (ย้อนไปโลดจักปีคิดเอาเอง ตอนนี่คนเขียนอายุ 48 ปีแล่ว เกิด 2508 ปีมะเส็ง) พอจบป.4 กะได่ไปเรียนในโตตำบลห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลนี่ล่ะ บ่มีจักยานจ้า ย่างอย่างเดียวมีหมู่หลาย ม่วนคัก..
บัดนี่ล่ะตำนานห่อเข่าใหญ่สิเริ่มขึ้น พอขึ้นป.5 ก็ต้องห่อเข่าไปกินโรงเรียน ผู้เตรียมห่อไห่กะคือพี่สาว บางเทื่อกะแม่เป็นผู้ห่อไห่ ห่อเข่ามื้อได๋แม่กะสิบอกว่าไห่ห่อหลายๆเอาไปไห่หมู่กินนำ เด็กน้อยวัยซั่มนี่ถ้าบ่กินเข่ามันสิเรียนบ่ฮู้เรื่อง เป็นบรรยากาศที่ประทับใจหลายเพราะหม่องกินเข่าเที่ยงพวกเฮาบ่ได่นั่งอยู่ในห้องเรียนเด่ แต่มีฮ่มไม่ ต้นบักเค็งต้นใหญ่ ฮ่มกะดี เป็นหม่องกินเข่าเที่ยงของพวกเฮาที่เป็นหมู่บ้านเดียวกันสู่มื่อสู่มือที่มือได๋ได่ไปเรียน แล่วกะบ่มีมื้อได๋สิบ่ได่ห่อเข่า เพราะแม่เน้นหลายเรื่องนี่ ประหยัดค่าขนม เพราะแม่บ่มีเงินไห่ไปกินโรงเรียนหลายคือหมู่ อย่างหลายกะบาทเดียว ฮึ ห้าสิบตังค์แค่นั่น จนเรียนจบป.7 ได่เข่าไปเรียนในโตอำเภอ บัดเทื่อนี่ได่นั่งรถไปเพราะว่ามันไกลห่างจากบ้านไป-กลับ กะประมาณ 15 กิโล ขึ้นม.ศ.1แล่ว แม่กะหยังเน้นไห่ห่อเข่าไปกินโรงเรียนคือเก่า เพราะแม่บอกว่าเรียนหนักกว่าเก่า เวลาเลยเที่ยงแล่วถ้าท้องหิวสิเรียนบ่ฮู้เรื่องกระวนกระวาย แม่เว่าถืกทุกอย่างเพราะมีหมู่หลายคนที่บ่เคยห่อเข่าไปกิน จักกินฮึบ่ได้กินเข่า เรียนบ่ฮู้เรื่องบ่มีสมาธิเลย การเรียนกะบ่ดี จากเป็นคนที่มักห่อเข่าหลายอยู่แล่วกะได่เผื่อแผ่หมู่ที่บ่ได้ห่อไป จากคนสองคนกะกลายเป็นหลายคนเป็นกลุ่มใหญ่ จากคนที่บ่มักห่อ เวลามีบุญมีงานกะสิเอามาฝากเฮา กะเลยกลายเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงฮักแพงคั่กหลายกว่าหมู่ บ่ว่าสิเป็นเฮ็ดรายงานกลุ่ม งานเดี่ยว มีเพื่อนขันอาสาหลายคั่ก นี่ล่ะค้า..สิ่งที่เฮาคิดบ่ถึง ความดีมีหมู่ฮักแพงนี่กะไดผลานิสงฆ์มาจากแม่ ที่มองเห็นความสำคัญของอาหารและความพร้อมของร่างกายในการเรียนหนังสือ แต่ที่สำคัญมันเป็นกุศโลบายของแม่ที่จะประหยัดเงินค่าขนมของเฮานั่นเอง.
การวางตัวจะอยู่ในสังคมไหนก็ตาม ถ้าเราได้รับการยอมรับจะทำให้เรามีบรรยากาศที่อยากอยู่และอยากทำ เรื่องเล่าเล็กๆน้อยๆ จากพี่ติ่ง (ผู้เขียน)นี้คงเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราหลายคนที่มีบรรยากาศอย่างนี้เช่นเดียวกัน เรามีเพื่อนที่รักเรา เรียนหนังสือก็เก่งพอใช้ได้จนจบม.ศ.5 และมีสิทธิ์เอ็นทรานต์ต่อในสมัยนั้น ครูคัดเอานักเรียน ที่เรียนเก่ง 20% สมัยนั้น เราก็มีสิทธิ์ อยากให้คนสมัยนี้ส่งเสริมและใส่ใจเด็กให้เป็นไปตามวัยอย่างสมัยพี่ติ่ง คือวัยเรียนก็ต้องเรียน จบแล้วก็หางานทำ มีงานทำก็แต่งงาน ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนได้สังคม ประเทศไทยคงน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย
ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ใช่เป็นการยกยอตัวเองแต่อย่างไร เพียงแค่นั่งคิดถึงบรรยากาศเก่าๆและอยากเล่าบ้างว่าเราเกิดมาจากท้องนา ลูกชาวนาจนๆคนหนึ่งจริงๆ รักชุมชนบ้านมหาค่ะ รักความเป็นลูกทุ่งบ้านเรา ต่อไปจะคอยอัพเดรทตลอดเผื่ออนาคตจะได้ไปกินข้างพาแลงกับกลุ่มสมาชิกด้วยในวันที่จัดงานค่ะ....ขอบคุณ พี่ติ่ง คนบุรีรัมย์..คร้า....