หลังจาก นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดี และ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
แห่งสหรัฐอเมริกา เดินทางมาประเทศไทยและได้เข้าไปเยี่ยมชมวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนปีที่แล้ว
โดยมี พระสุธีธรรมานุวัตร หรือ เจ้าคุณเทียบ สิริญาโณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส
เป็นคนนำชม และเป็นข่าวโด่งดัง เผยแพร่ให้ทั่วโลก
ได้เห็นถึงความงดงามของวัดโพธิ์
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เหล่าบรรดาแขกคนสำคัญจากต่างประเทศ
ที่มาเยือนประเทศไทย ก็จะต้องแวะไปสักการะและเยี่ยมเยือนวัดโพธิ์ด้วยเสมอ
อาทิ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมปีเดียวกัน
สมเด็จพระสังฆราชแห่งศรีลังกาก็เสด็จมาเยือน
และหลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระราชาธิบดีฟิลลิป
กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเบลเยียม และเจ้าหญิงมาทิลเดอร์
พระชายา ก็เสด็จมาเยือนเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2556
ท่านเจ้าคุณเทียบกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างพระมหาราชวัง และสถาปนาวัดโพธิ์ให้เป็นพระอารามหลวง และในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณะวัดครั้งใหญ่
มีการสร้างพระนอนที่งดงาม และรวบรวมเอาสรรพวิชาทุกด้าน มาไว้ในวัด
เช่น วิชาการนวด อักษรศาสตร์ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนโบราณ
ถูกจารึกเอาไว้ตามเสา ระเบียงต่างๆ ที่รู้จักกันในนามของจารึกวัดโพธิ์
จนมีการเปรียบเปรยว่า
วัดโพธิ์ถือเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของประเทศไทย
"ตอนที่อาตมาได้มีโอกาสต้อนรับคุณโอบามากับคุณฮิลลารี
อาตมานำเขาทั้ง 2 ไปชมพระพุทธโลกนาถ
ซึ่งประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารด้านทิศตะวันออกของวัด
อาตมาบอกกับคุณโอบามาและคุณฮิลลารีว่า เรามีความเชื่อว่า
ใครปรารถนาจะมีลูก ให้มาขอกับพระพุทธรูปองค์นี้ได้
แต่จะต้องมาขอทุกวันพระเท่านั้น ซึ่งก็มีหลายคนที่สมปรารถนา
คุณโอบามายิ้ม แล้วหันไปพูดกับคุณฮิลลารีว่า โชคดีนะ เราไม่ต้องขอ
เพราะเรามีแล้ว สำหรับเรื่องการขอลูกกับพระพุทธโลกนาถนั้นไม่ค่อยจะมีใครรู้กันมากนัก แต่เป็นความเชื่อที่คนโบราณเชื่อกันมานานแล้ว และพระพุทธโลกนาถนี้
ขึ้นชื่อว่าเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในวัดโพธิ์" ท่านเจ้าคุณเทียบกล่าว
นอกจากนี้ยังมีพระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอน ที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุด
การเข้าไปสักการะและชมพระนอน นอกจากจะได้สัมผัสความงามของศิลปวัฒนธรรมแล้ว การได้เข้าไปเพ่งพิศองค์พระจากฝ่าพระบาทไปตลอดถึงพระเศียร
ใครที่จิตใจรุ่มร้อน จะดับความร้อน เรียกสติให้กลับคืนมาได้อย่างน่าประหลาดทีเดียว
"ถึงปัจจุบันนี้ วัดโพธิ์ก็ยังเป็นวัดแห่งการศึกษาและเรียนรู้ในสรรพวิชาหลายๆ
ด้าน หลายคนรู้จักวัดโพธิ์ว่าโดดเด่นในวิชาการนวด
แต่ความจริงคือนอกจากวิชาการนวดแล้ว ในวัดยังมีศิลปวัฒนธรรมให้เรียนรู้หลายแขนง อีกทั้งยังมีความสงบ ร่มเย็น ซึ่งจะเป็นที่พึ่งด้านจิตใจของคนที่มีความทุกข์มาพึ่งพาที่นี่ได้อีกด้วย"
ท่านเจ้าคุณเทียบบอกว่า แต่เดิมทีการเข้ามาในวัดของคนทั่วไป
ไม่มีค่าใช้จ่าย ต่อมาวัดเป็นที่รู้จักของคนจากทั่วโลก ที่หลั่งไหลกันเข้ามาสักการะ
และชมวัดมากขึ้น ต้องมีระบบการจัดการเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ
จึงต้องเก็บเงิน เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับบริหารจัดการระบบต่างๆ
เช่น การรักษาความสะอาด บูรณะซ่อมแซมส่วนต่างๆ
"ยอมรับว่าที่ผ่านมา เมื่อมีคนมาก การจัดการต่างๆ ก็จะมีข้อบกพร่องมากขึ้น
เวลานี้ จึงได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างกรมศิลปากร กรรมการวัด
และผู้ที่เกี่ยวข้อง เรื่องการปรับปรุงการบริหารจัดการให้วัดโพธิ์
เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจ จะมีการปรับระบบการบริหารจัดการในวัดใหม่หลายอย่าง เพื่อให้คนเข้าวัดมากขึ้น คนที่มีความทุกข์ ไม่ว่าทางกาย หรือทางใจ เข้ามาในวัดเมื่อออกไปพวกเขาจะสามารถตั้งสติ จากคำสอน
การพบเจอศิลปะแขนงต่างๆ จากการสนทนาธรรม การฟื้นฟูสุขภาพจากการนวดที่เป็นต้นตำรับ และกลับออกไปด้วยความรู้สึกที่ดีๆ มีกำลังใจในการทำดีประพฤติดีต่อไป"
ระบบใหม่ที่ท่านเจ้าคุณเทียบคิดไว้ มีตั้งแต่ระบบการเก็บตั๋วเพื่อเข้าชมวัด ซึ่งจะทำเฉพาะกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้น สำหรับคนไทยยังให้เข้าฟรีเหมือนเดิม แต่จะอำนวยความสะดวกมากขึ้น คือนักท่องเที่ยวสามารถใช้เงินในสกุลของประเทศตัวเองก็ได้
ไม่จำเป็นต้องแลกเป็นเงินไทย สำหรับตั๋วที่เข้าชม ก็จะทำเหมือนกับตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ คือ มีรูปเจ้าของตั๋วติดอยู่ด้วย สำหรับเป็นที่ระลึก และเร็วๆ นี้ ทั่วทุกพื้นที่ภายในวัด จะมีไวไฟบริการ สำหรับการส่งข้อมูลข่าวสารทุกชนิดออกจากวัด
"เราจะนำเอาสรรพวิชาแขนงต่างๆ ทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน รวมไปถึงวิชาการนวด ที่เป็นเอกลักษณ์และสัญลักษณ์ของวัดโพธิ์ นำเสนอนักท่องเที่ยว ในลักษณะโรดโชว์ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
รวมไปถึงการแปลเป็นภาษาประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน เพื่อรองรับประชาคมอาเซียนอีกด้วย ให้ทุกชาติทุกภาษาสามารถเข้าถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี และศิลปะ สรรพความรู้ ที่ทางวัดสั่งสมเอาไว้
เพื่อให้แพร่หลายและให้คนที่เข้าวัดทุกคนมีความรู้สึกดีๆ มีสุขภาพทั้งกายและจิตดีๆ กลับออกไป" ท่านเจ้าคุณเทียบกล่าว
มีข้อสงสัยว่า สิ่งที่วัดคิดและกำลังจะทำนั้น ดูจะเป็นการสวนทางกับวิถีแห่งพระและวัดหรือไม่ ท่านเจ้าคุณเทียบกล่าวว่า วัดโพธิ์นั้นมีเนื้อที่กว้างขวางกว่า 50 ไร่ พื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เขตพุทธาวาส สำหรับพุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวเข้ามาชมวัด
และเขตสังฆาวาส ซึ่งเป็นที่อยู่ที่ปฏิบัติของเหล่าพระสงฆ์ ซึ่งทั้ง 2 แห่งแยกกันอยู่แล้ว พระทุกรูปในวัดยังปฏิบัติตนตามกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด ส่วนพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาชมวัด ก็จะมีทั้งเจ้าหน้าที่ของวัด และพระสงฆ์บางรูปที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยดูแล
จากวัดคู่บ้านคู่เมือง อีกบทบาทหนึ่งของวัดโพธิ์ที่คงหนีไม่พ้น ก็คือ แหล่งท่องเที่ยวด้านสุขภาพ ที่ทั้งวีไอพีและนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถสัมผัสได้ และประเทศไทยภูมิใจเสนอ
(ที่มา:มติชนรายวัน 13 ตุลาคม 2556)
ขอบคุณ มติชนออนไลน์
มติชนรายวัน
Bookmarks