ระวัง...เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

ระวัง...เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

องค์การอัมพาตโลกได้กําหนดให้ทุกวันที่ 29 ตุลาคมเป็นวันรณรงค์อัมพาตโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นสาเหตุการตายของคนทั่วโลก ประมาณ 6 ล้านคนต่อปี ที่มากกว่าคนตายจากเอดส์ วัณโรค และมาลาเรียรวมกัน โดยองค์การอัมพาตโลกคาดว่า ปี พ.ศ. 2558 นี้ จะมีคนทั่วโลกตายจากโรคหลอดเลือดสมองถึง 6.5 ล้านคน เฉพาะประเทศไทยมีคนตายจากโรคหลอดเลือดสมอง เฉลี่ยถึงประมาณ 36 คน ต่อวัน

โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคที่เกิดจากสมองได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้สูญเสียการควบคุมการทำงานของร่างกาย โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันที่พบประมาณร้อยละ 70 และอีกชนิดคือหลอดเลือดสมองแตก ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง คือ ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ผู้เป็นโรคเบาหวาน ผู้มีระดับไขมันในเลือดสูง ผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ออกกําลังกายหรือมีกิจกรรมทางกายน้อย เป็นคนท้วมหรืออ้วน เป็นผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจํา หรือผู้มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ฉะนั้น เพื่อป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ที่มีความเสี่ยงตามที่กล่าวมา ควรใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองให้มากขึ้น เพราะมีหลักฐานวิชาการพบว่า สามารถป้องกันได้ถึงร้อยละ 80 ซึ่งควรปฏิบัติทันทีตั้งแต่ตอนนี้ ได้แก่

1. ควบคุมน้ำหนักตัว โดยให้ค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI อยู่ระหว่าง 18.5 - 22.9 กก./ตร.ม. และควบคุมรอบเอว ซึ่งผู้ชายควรให้น้อยกว่า 90 ซม. หรือ 36 นิ้ว ผู้หญิงให้น้อยกว่า 80 ซม. หรือ 32 นิ้ว

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม เพิ่มการกินผัก ผลไม้รสไม่หวาน และธัญพืชให้มากขึ้น

3. รับรู้ความเสี่ยงของตนว่า เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรืออื่นๆ หรือไม่ หากผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

4. ออกกำลังกายระดับปานกลาง อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์หนึ่ง 3-5 ครั้ง

5. ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่รวมถึงไม่สูดดมควันบุหรี่ด้วย

6. เรียนรู้อาการเตือนที่สำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากพบว่า ผู้ที่มีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราว 1 ใน 5 คนจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองภายในระยะเวลา 3 เดือน ส่วนใหญ่เป็นในระยะ 2 - 3 วันแรก หลังมีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราว

อาการสมองขาดเลือดชั่วคราว อาจมีเพียงอาการเดียวหรือมากกว่าก็ได้ อาการที่เกิดขึ้นนี้เพื่อให้จำง่าย คือ FAST (เร็ว) โดยแต่ละตัวย่อมาจาก F = Face (หน้า) : เวลายิ้มพบว่ามุมปากข้างใดข้างหนึ่งตก A = Arms (แขน) : ยกแขนไม่ขึ้นข้างใดข้างหนึ่ง S = Speech (พูด) : มีปัญหาด้านการพูดแม้ประโยคง่ายๆ พูดแล้วคนฟัง ฟังไม่รู้เรื่อง T = Time (เวลา) : ถ้ามีอาการเหล่านี้ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที หรือภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งจะสามารถช่วยรักษาชีวิตและฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุดได้

.......................

4 ขั้นตอนในการลดความเสี่ยงโรคระบบหลอดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ

สรรพคุณโดยรวม ของทั้ง 4 ขั้นตอน คือลดความหนืดให้กับเลือดด้วยการเติมน้ำเข้าสู่ร่างกาย ,ใช้ไขมันชนิดดี น้ำมันมะพร้าว (HDL) เข้าไปขจัดไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด และ ไขมัน สารพิษที่เกาะอยู่ในตับ และถูกขับออกจากตับด้วยสมุนไพรเบญจพันธุ์ อีกทั้งฟื้นฟูตับให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสาหร่ายเกลียวทอง จนตับสามารถผลิต HDL ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งผลิตน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมันได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการฟื้นฟูอย่างยั่งยืนในระยะยาว

1. เลือด มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 91% ดังนั้นถ้าในแต่ละวันไม่ดื่ม หรือดื่มไม่เพียงพอ น้ำเลือดก็จะข้นเป็นโคลน หัวใจก็ทำงานหนักเป็นสาเหตุอันดับแรกของโรคหัวใจวายเลยนะครับ

การดื่มน้ำที่ถูกวิธี - ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย - ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว - ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร

2. น้ำมันมะพร้าว เพิ่มไขมันชนิดดี โดยทานน้ำมันมะพร้าว 2-4 ช้อนโต๊ะ/วัน เพื่อเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL) ที่จะช่วยนำไขมันคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ออกจากร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดไม่ให้อุดตัน ( ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ Ze-oil ประกอบด้วย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาขี้ม่อน น้ำมันรำข้าว ทานตื่นนอน และก่อนนอน 2 แคปซูล ) * แนะนำให้เสริมด้วยน้ำมันปลา สัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 1,000 มิลลิกรัม (1 แคปซูล) หลังอาหาร โดยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไม่เกาะตัวเป็นลิ่ม เลือดจึงไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดความหนืดของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่น

3. ยาน้ำสมุนไพรเบญจพันธุ์ ลูกใต้ใบ (บ้านอโรคยา) ช่วยบำรุงตับ และ เปิดท่อน้ำดีเพื่อให้ของเสียและไขมันที่พอกอุดตันที่ตับ ถูกขับออกมาง่ายขึ้น รวมถึงการช่วยดึงดูดน้ำเข้าสู่กระแสเลือดให้มากขึ้น เพื่อเร่งการขับของเสียออกทางปัสสาวะได้มากขึ้นอีกทาง โดยทานหลังอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ

4. สาหร่ายเกลียวทองเป็นอาหารที่ เหมาะสำหรับฟื้นฟู ตับ เพราะ เนื้อเยื่อของตับประกอบด้วยสารประเภทโปรตีนถึง 70% ซึ่งใกล้เคียงกับ โปรตีนที่มีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทองที่มีมากถึง 70% เช่นกัน (มากกว่าไข่ไก่และเนื้อสัตว์ 2-3 เท่า) ดังนั้นในการฟื้นฟูเซลล์ของตับที่เสียหาย ต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซม อีกทั้งสาหร่ายเกลียวทอง สามารถย่อยง่าย และ ดูดซึมได้ถึง 95% ดังนั้น ตับก็จะได้โปรตีนและสารอื่นๆจำนวนมากเพื่อไปซ่อมแซมเซลล์ตับ และ ไม่ต้องทำงานหนักในการกำจัดของเสีย ตับก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว





ที่มา : ดิอโรคยา การแพทย์แผนไทย