หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 2 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 12
กำลังแสดงผล 11 ถึง 16 จากทั้งหมด 16

หัวข้อ: 。◎。...ความเป็นมาของผญา...(มาอ่านเบิ่งเด้อพี่น้อง)。◎。

  1. #11
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ ตะวันนา
    วันที่สมัคร
    Aug 2006
    กระทู้
    1,598

    Re: 。◎。...ความเป็นมาของผญา...(มาอ่านเบิ่งเด้อพี่น้อง)。◎。


    มาเว่าเรื่องผญากันต่อเด้อจ้า.............


    +.+.+.+.+ ประเภทของผญา +.+.+.+.+


    ผญา เมื่อจะแบ่งออกเป็นประเภท ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น ปรเภท คือ


    ๑. ผญาคำสอน
    ๒. ผญาปริศนา
    ๓. ผญาภาษิตสอนใจ
    ๔. ผญาเกี้ยวพาราสี ทั่วไป
    ๕. ผญาเกี้ยวพาราสีโต้ตอบหนุ่มสาว



    การพูดผญา เป็นการพูดที่กินใจ

    การพูดคุยด้วยคารมคมคาย ซึ่งเรียกว่า ผญา นั้น ทำให้ผู้ฟังได้ทั้งความรู้ และความคิดสติปัญญา ความสนุกเพลิดเพลิน ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิดความักด้วย จึงทำให้หนุ่มสาวสมัยนั้น นิยมพูดผญากันมาก และการโต้ตอบเชิงปัญญาที่ทำให้แต่ละฝ่ายเฟ้นหาคำตอบ เพื่อเอาชนะกันนั้น จึงก่อให้เกิดความซาบซึ้ง ล้ำลึกสามารถผูกมัดจิตใจของหนุ่มสาวไม่น้อยก ดังนั้น ผญา จึงเป็นเหมือนมนต์ขลัง ที่ตรึงจิตใจหนุ่มสาวให้แนบแน่นลึกซึ้งลงไป........


    ชาย...................อ้ายนี้เป็นดังอาชาไนม้า เดินทางหิวหอด
    มาพ้อน้ำสร้างแก้ว ในถ้ำกะส่องดาย
    กลายไปแล้ว ผัดคืนมาก้มส่อง
    อยากกินกะกินบ่ได้ เลียลิ้นอยู่เปล่าดาย



    หญิง...................น้องนี้เป็นเฮือคาแก้ง เสาประดงคุงหาด
    หาผู้คึดซ่อยแก้ ให้หายฮ้อนกะบ่มี





    :heart:~?*??*?~*... คื อ วั น ห นึ่ ง ที่ หั ว ใ จ....
    ................จ ะ ห อ บ รั ก ไ ป ซ บ อุ่ น ไ อ ดิ น... .....
    * ~?*??*?~:heart:

  2. #12
    เซียงข่อล่อ
    Guest

    Re: 。◎。...ความเป็นมาของผญา...(มาอ่านเบิ่งเด้อพี่น้อง)。◎。


    ขอแนะนำหนังสือสำหรับผู้ที่มีความสนใจเนาะคับเนาะ
    1. กาพย์กลอนอีสาน ว่าด้วยข้อเท็จจริงวรรณกรรมประชาชน ของ อ.จิรภัทร แก้วกู่ เป็นหนังสือที่กล่าวถึงวิธีการเขียนและการอ่านกาพย์กลอนของอีสานบ้านเราไว้อย่างดีเล่มหนึ่ง
    2. พจนานุกรมภาคอีสาน-ภาคกลาง เป้นหนังสือที่พจนานุกรมอีสาน และมีคำแปลภาษาไทย ที่ดีมาก เพี่อที่จะให้เราเลือกเขียนคำและอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง ความหมายของภาษาก็จะไม่ผิดเพี้ยนนะครับ

  3. #13
    นักการภารโรง สัญลักษณ์ของ บ่าวคนเดิม
    วันที่สมัคร
    Jan 2006
    ที่อยู่
    Amphoe Det Udom
    กระทู้
    3,148

    Re: 。◎。...ความเป็นมาของผญา...(มาอ่านเบิ่งเด้อพี่น้อง)。◎。

    ขอบคุณทุกท่านครับ..สำหรับข้อมูลดีๆ
    ขอบพระคุณสมาชิกและทีมงานที่เคารพรักทุกท่าน

  4. #14
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ บักหล่าลูกกก
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    158

    ข้อมูลเพิ่มเติมผญา

    คนอีสานมีคำคม สุภาษิตสำหรับสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในฮีตคอง (จารีต- ประเพณี) ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำคมเหล่านี้รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง (wisdom, philosophy, maxim, aphorism.)

    ผะหยา หรือ ผญา เป็นคำภาษาอีสาน สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากคำว่า ปรัชญา เพราะภาษาอีสานออกเสียงควบ "ปร" ไปเป็น ผ เช่น คำว่า เปรต เป็น เผต โปรด เป็น โผด หมากปราง เป็น หมากผาง ดังนั้นคำว่า ปรัชญา อาจมาเป็น ผัชญา แล้วเป็น ผญา อีกต่อหนึ่ง


    ปัญญา ปรัชญา หรือผญา เป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน มีความหมายคล้ายคลึงกัน ใกล้ เคียงกันหรือบางครั้งใช้แทนกันได้ ซึ่งหมายถึง ปัญญา ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง หรือบางท่านบอกว่า ผญา มาจากปัญญา โดยเอา ป เป็น ผ เหมือนกับ เปรต เป็น เผด โปรด เป็น โผด เป็นต้น ผญาเป็นลักษณะแห่งความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจ จะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้

    ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนา คือฟังแล้วต้องนำมาคิด มาวิเคราะห์ เพื่อค้นหาคำตอบที่เป็นจริงและชัดเจนว่า หมายถึงอะไร
    ผญา เป็นคำพูดที่คล้องจองกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีสัมผัสเสมอไป แต่เวลาพูดจะ ไพเราะสละสลวย และในการพูดนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะหนักเบาด้วย
    ผญา เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา มีเชาวน์ มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กิน ใจความมาก
    การพูดผญาเป็นการพูดที่กินใจ การพูดคุยด้วยคารมคมคาย ซึ่งเรียกว่า ผญา นั้น ทำให้ผู้ฟังได้ทั้งความรู้และความคิดสติปัญญา ความสนุกเพลิดเพลิน ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิด ความรักด้วย จึงทำให้หนุ่มสาวฝนสมัยก่อน นิยมพูดผญากันมาก และการโต้ตอบเชิงปัญญาที่ทำ ให้แต่ละฝ่ายเฟ้นหาคำตอบ เพื่อเอาชนะกันนั้นจึงก่อให้เกิดความซาบซึ้ง ล้ำลึกสามารถผูกมัด จิตใจของหนุ่มสาวไม่น้อย ดังนั้น ผญา จึงเป็นเมืองมนต์ขลัง ที่ตรึงจิตใจหนุ่มสาวให้แนบแน่น ลึกซึ้งลงไป

    ภาษิตโบราณอีสานแต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียด ก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบ ๆ โปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำ ชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป็นของดี ส่วนคน ในชาติอื่น อาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง "ภาษิต" คือรูปภาพของวัฒนธรรม แห่งชาติ นั่นเอง

    การจ่ายผญา หรือการแก้ผญา

    การจ่ายผญา แก้ผญา เว้าผญา หรือพูดผญา คือการตอบคำถาม ซึ่งมึผู้ถามมาแล้ว ก็ตอบไป เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียง ไม่มีทำนอง แต่เป็นจังหวะ มีวรรคตอนเท่านั้น ผู้ถามส่วนใหญ่จะเป็นหมอลำฝ่ายชาย คือลำเป็นคำถาม ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายตอบ หรือจ่ายผญา ด้วยเหตุนี้จึงมักจะเรียกว่า ลำผญา หรือลำผญาญ่อย เช่น


    (ชาย) ..... อ้ายนี้อยากถามข่าวน้ำ ถามข่าวถึงปลา อยากถามข่าวนา ถามข่าวถึงเข้า (ข้าว) อ้ายอยากถามข่าวน้อง ว่ามีผัวแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้ ผัวสิซ้อนหากบ่มี
    (หญิง) ..... น้องนี้ปอดอ้อยซ้อยเสมอดังตองตัด พัดแต่เป็นหญิงมา บ่มีชายสิมาเกี้ยว พัดแต่สอนลอนขึ้น บ่มีเครือสิเกี้ยวพุ่ม พัดแต่เป็นพุ่มไม้เครือสิเกี้ยวกะบ่มี

    หมอผญาที่ควรกล่าวถึงในที่นี้ คือ แม่ดา ซามงค์ แม่สำอางค์ อุณวงศ์ แม่เป๋อ พลเพ็ง แม่บุญเหลื่อม พลเพ็ง แห่งบ้านดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นต้น

    การลำและจ่ายผญา ในสมัยโบราณนั้นจะนั่งกับพื้น คือ หมอลำ หมอผญาและหมอแคน จะนั่งเป็นวง ส่วนผู้ฟังอื่น ๆ ก็นั่งเป็นวงล้อมรอบ หมอลำบางครั้งจะมีการฟ้อนด้วย ส่วนผู้จ่ายผญา จะไม่มีการฟ้อน ในบางครั้งจะทำงานไปด้วยแก้ผญาไปด้วย เช่น เวลาลงข่วง หมอลำชายจะลำ เกี้ยว ฝ่ายหญิงจะเข็นฝ้ายไปแก้ผญาไป นอกจากหมอลำ หมอแคนแล้ว บางครั้งจะมีหมอสอยทำ การสอยสอดแทรกเป็นจังหวะไป ทำให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนาน การจ่ายผญาในครั้งแรก ๆ นั้น เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียงยาว และนั่งพูดจ่ายตามธรรมดา ต่อมาได้มีการดัดแปลง ให้มีการเอื้อนเสียงยาว มีจังหวะและสัมผัสนอกสัมผัสในด้วย ทำให้เกิดความไพเราะ และมีการเป่า แคนประกอบจนกลายมาเป็น "หมอลำผญา" ซึ่งพึ่งมีขึ้นประมาณ 30-40 ปีมานี้

    เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปการพัฒนาของการจ่ายผญาจึงมีมากขึ้น จากการนั่งจ่ายผญา ซึ่งมองกันว่าไม่ค่อยถนัดและไม่ถึงอกถึงใจผู้ฟัง (ด้วยขาดการแสดงออกด้านท่าทางประกอบ) จึงมีการเปลี่ยนมาเป็นยืนลำ ทำให้มีการฟ้อนประกอบไปด้วย จากดนตรีประกอบที่มีเพียง แคน ก็ได้นำเอากลอง ฉิ่ง ฉาบ และดนตรีอื่น ๆ เข้ามาประกอบ จากผู้แสดงเพียง 2 คนก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็น 3, 4 และ 5 คน จนมารวมกันเป็นคณะ เรียกว่า คณะหมอลำผญา บางคณะได้มีหางเครื่องเข้ามา ประกอบ

    ความทวย (ปริศนาคำทาย)
    ความทวย ในภาษาอีสาน จะมีความหมายตรงกับ ปริศนาคำทาย ในภาษากลาง เป็นวิธีการสอนลูกหลานให้มีความคิด เชาว์ปัญญา ไหวพริบปฏิภาณเฉียบแหลม ประกอบกับการเล่านิทานที่มีคติสอนใจ ในสมัยก่อนนั้น คนบ้านนอกในภาคอีสานยังไม่มีวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งบันเทิงที่พอมีคือการเล่านิทานชาดกของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ในขณะที่คนแก่ก็จะได้ความสุขใจมาจากการฟังเทศน์ฟังธรรมจากวัด

    ช่วงเย็นหลังอาหารค่ำก็จะเป็นช่วงเวลาของเด็กๆ หนุ่มสาว จะได้ฟังนิทานชาดก นิทานพื้นบ้านกัน หลังการเล่านิทานก็จะมีการถามปัญหา หรือ ความทวย ผู้ใดสามารถตอบได้ก็จะได้รับรางวัลเป็นผลไม้ กล้วย อ้อย ตามฤดูกาล ตัวอย่างความทวย เช่น

    ความทวย สุกอยู่ดิน กากินบ่ได้ สุกอยู่ฟ้า กายื้อบ่เถิง ไผว่าแม่นหยัง?
    ความแก้ ลูกหลานก็จะคิดหาความแก้ ถ้าใครแก้ได้ท่านก็ให้รางวัลดังกล่าว แล้วความแก้หรือคำตอบนี้ก็คือ "ดวงตะวัน" และ "กองไฟ"
    ข้อสังเกต ความทวยหรือปริศนาปัญหานี้ ท่านจะผูกขึ้นจากลักษณะของสิ่งที่จะเอามาตั้งเป็นปัญหา เพื่อให้ลูกหลานใช้สมองเทียบเคียงดู เช่น สุกอยู่ดินคือ "กองไฟ" เพราะกองไฟมันจะมีสีแดง ปกติของสีแดงๆ มันจะเป็นสัญลักษณ์แห่งของสุก "สุกอยู่ฟ้า" คือดวงตะวันสีแดงๆ บนฟ้า ของสุกมันจะมีสีแดง ของดิบมันจะเป็นสีอื่นๆ และกากินไม่ได้ด้วย เด็กฉลาดก็จะเทียบเคียงได้เอง รายละเอียดและตัวอย่างคำทวยดูได้จากหัวข้อด้านล่าง

    ประเภทของผญา - สุภาษิต - ความทวย

    ผญาเมื่อแบ่งแยกหมวดหมู่ออกไปตามลักษณะอย่างคร่าวๆ ก็สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทดังนี้

    1. ผญาคำสอน
    2. ผญาปริศนา
    3. ผญาภาษิตสะกิดใจ
    4. ผญาเกี้ยวพาราสีทั่วไป
    5. ผญาเกี้ยวพาราสีโต้ตอบหนุ่มสาว
    6. หมวดภาษิตคำเปรียบเปรยต่างๆ
    7. ผญาปัญหาภาษิต
    8. ความทวย
    9. ภาษิตโบราณอีสาน
    10. คำกลอนโบราณอีสาน
    11. วรรณกรรมคำสอย

    (ข้อมูลคล้าย ๆ กัน แต่กะขอเพิ่มเติมเด้อครับ)
    ขอบคุณข้อมูลจาก isangate.com

  5. #15
    ศิลปิน นักแต่งผญา สัญลักษณ์ของ หญ้านาง
    วันที่สมัคร
    Jul 2009
    กระทู้
    619
    นางบ่แน่ใจเด้อจ้าคำว่า ผญา มาจากคำพ้องที่ว่า ผญาปัญญา หรือบ่แต่นางกะเคยได้ยินผุเฒ่าว่ายุว่าคนสิจ่ายผญาได้ต้องเป็นคนมีสติปัญญา มีความจำแล้วกะความป่อง(ความคิดที่หลากหลายหรือ ไหวพริบ) ถึงสิสามารถใช้สติปัญญาของเจ้าของในการคึดหลักการ ปัญหา หรือการตีความผญาได้อย่างแตกฉาน ซึ่งเป้นการแสดงถึงสติปัญญาของคนเว้าที่มีปัญญาแหลมคมแล้วก่ไหวพริบดี
    เช่นว่า
    ดวงจันทร์ฟ้าสีขาวเก้ากลีบ
    บ่มีลีบหลอดแห้งหอมกุ้มไปทั่วแดน
    แม่นผุใด๋ได้กินแล้วฮู้อิ่มบ่มีหาย
    เถิงว่ายามตายไปอยู่สุขบ่มีฮ้อน....

    อันนี้นางจำผุเฒ่าสอนอ้ายมาหมายความว่า ดวงจันทร์หมายถึง ศาสนาพุทธ
    เก้ากลีบ คือ มรรค 4 ผล4 นิพพาน 1
    ไผได้ถือแล้วบ่มีวันตกนรก มีแต่อยู่สุข เทิงชาตินี้และชาติหน้าสั่นดอกหว๋า
    แต่นางฟังเทื่อแรกกะงงๆ แต่ผุเฒ่ามักสิผูกผญาแสดงถึงสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด
    เพื่อเป็นแนวคิดและฝึกฝนสติปัญญญาและสอนใจเอาไว้ ถือว่าผญาอีสานนี้เป็นของเก่าที่สมควรอนุรักษ์สืบทอดให้ยาวนานตลอดไป

  6. #16
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ chonjung0602
    วันที่สมัคร
    Dec 2007
    กระทู้
    21

    รอบยิ้มพิมใจ ..หม่วนดีน้อครับ..ภาษาบ้านเฮา..

    ..อยากเว้าพญาเก่งๆเด้บาดนี่..

หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 2 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 12

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •