*กับดับสุขภาพ ประการที่ **4*

*ไม่กินไขมันเลย** **เพราะกลัวอ้วน*

เราถูกรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการกินไขมัน เพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันเลือดสูง
จนคนจำนวนหนึ่งกลัวไขมันเกินกว่าเหตุ
ตนเองยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ป่วยเจ็บเป็นโรคอะไร
แต่ไม่กินไขมันเลย เป็นเวลาหลายๆปี จนกลายเป็นภาวะพร่องไขมัน

แท้ที่จริงเราต้องรู้ว่า ไขมันเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้
ในร่างกายของเรามีไขมันอยู่ 3 ชนิดใหญ่ๆ หนึ่งคือโคเลสเตอรอล
สองคือไตรกลีเซอไรด์ และสามคือฟอสโฟไลปิด
เราใช้โคเลสเตอรอลเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์
และสร้างฮอร์โมนเพศกับฮอร์โมนคอร์ติโซล
ส่วนไตรกลีเซอไรด์เป็นแอ่งพลังงานในกระแสเลือด
เพื่อหนุนช่วยน้ำตาลในเลือด ส่วนฟอสโฟไลปิดเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเซลล์ประสาท
ฯลฯ

จึงเห็นการหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน จนถึงกับไม่กินเลย
ทั้งๆที่สุขภาพเป็นปกติอยู่นั้น นานๆเข้าก็จะเกิดโรค
จะยกตัวอย่างกรณีสุดขั้วกรณีหนึ่ง
ผมเคยพบนิสิตมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เดินเข้ามาหาผมด้วยน้ำหนักตัว 35 กก.
จินตนาการเหมือนกับไม้แขวนเสื้อลอยมา อย่างนั้นแหละ แต่เธอเข้ามาหาผม
พร้อมกับบอกว่า "หนูต้องการลดน้ำหนักค่ะ"

เธอมีความคิดว่าน้ำหนักตัวขนาดนั้นของเธอยังไม่เป็นที่พอใจ
บอกว่าอยากให้หุ่นผอมเพรียวเหมือนสาวที่เดินบนแค็ตวอล์ก
ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กินน้ำมันทุกชนิด
ผมมองปราดเดียวที่ใบหน้าและผิวพรรณของเธอก็บอกได้เลยว่า
เธอกำลังป่วยด้วยภาวะพร่องไขมัน
คือผิวแห้งและหน้าตาหม่นหมองมาก ถามประวัติอีกหน่อยก็พบว่า ผมเธอร่วงเป็นประจำ
และที่สำคัญก็คือ เธอขาดประจำเดือนมาได้กว่าปีแล้ว

นั่นเป็นเพราะว่า ภาวะที่พร่องไขมัน ร่างกายก็ขาดวัตถุดิบไปสร้างฮอร์โมนเพศ
ทั้งสำหรับสุขภาพของผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย น่าเสียดายว่า
ความเข้าใจผิดๆประการนี้
ทำให้แม้กระทั่งนิสิตปีสี่ของมหาวิทยาลัยอย่างเธอต้องหลงผิดไปตามแสงสีของแฟชั่­น
คิดดูก็น่าใจหาย

ผมนึกถึงกฎแห่งการอยู่รอดของดาร์วิน ที่บอกถึงการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ
สัตว์ใดแข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ สัตว์ใดที่อ่อนแอกว่าก็สูญพันธุ์ไปในที่สุด
สังคมมนุษย์ก็คงเช่นเดียวกัน คนใดฉลาดกว่ารู้จักแสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง
และดำเนินชีวิตที่ชอบที่ควรก็อยู่รอด แต่คนใดไม่ฉลาดหาความรู้
หรือหลงไปในทางอวิชชา สุดท้ายก็ทำลายสุขภาพตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ
ยังอาจหมดโอกาสสืบพันธุ์อีกด้วย อย่างกรณีขาดประจำเดือนของสาวหลงรายนี้
ธรรมชาติก็คงบอกว่า "สาวน้อย เธอจงอย่ามีประจำเดือน
และอย่าสืบสกุลมีลูกมีหลานเถอะนะ"
นี่คือการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติตามกฎของดาร์วินอีกเหมือนกัน


สำหรับคนไทยอยู่เมืองไทยอย่างเรา หลักปฏิบัติง่ายๆในเรื่องไขมันก็คือ
กินอาหารแต่ละมื้อให้มีอาหารจานที่มีไขมันสัก 1 อย่าง เช่น มีผัดผัก มีไข่เจียว
มีไก่ทอด จานใดจานหนึ่งในแต่ละมื้อ นั่นคือทางสายกลางที่เลือกเดินได้

*กับดักสุขภาพ ประการที่ **5*

*กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น** **ไขมันสูง*

ผลไม้น่ะ ดี เพราะเป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี
เบต้าแคโรทีน และถ้ากินสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ
ก็ช่วยจรรโลงสุขภาพได้

อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกย่อมมี 2 ด้านอยู่เสมอ ผลไม้ทุกชนิดมีรสหวาน
จึงเป็นแหล่งที่มาของน้ำตาลในเลือดชัดๆอยู่แล้ว และคนที่เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยยา
หมออาจจะอนุโลมให้กินผลไม้ โดยแบ่งกินทีละไม่เกินผลไม้ 2-3 กลีบเป็นต้น
แต่สำหรับสูตรรักษาเบาหวาน-กินเนื้อกินผักแบบบัลวี
เราก็ไม่ให้กินผลไม้เลย ซึ่งจะคุมเบาหวานลดลงได้เร็วมาก ภายใน 10 วัน

ทีนี้สำหรับคนทั่วไป ผลไม้ย่อมกินได้อย่างเป็นทางสายกลาง
แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินผลไม้อย่างสุดขั้ว แล้วเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้

ประการหนึ่ง คนที่กินผลไม้หวานจัด เช่นทุเรียน ขนุน ลำไย
เหล่านี้มักจะเกิดอาการร้อนในได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีแมกโครไบโอติกส์
ซึ่งบอกว่า ผลไม้เป็นสุดขั้วของพลังหยิน กล่าวคือในประเทศเขตร้อน
พลังหยางมีมาก ต้นไม้จึงเอาพลังหยินของมันมุดลงดิน
แล้วไปผลิออกเป็นผลไม้ หล่อเลี้ยงธรรมชาติด้วยสุดยอดพลังหยินของมัน คน
สัตว์กินผลไม้หน้าร้อนก็ชื่นใจ แต่ถ้ากินมากเกินไป พลังหยินที่รับเข้าไปมาก
จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางสุดขั้ว จึงเกิดอาการเจ็บคอร้อนในได้
แมกโครไบโอติกส์ชนิดสุดโต่งจึงไม่แนะนำให้กินผลไม้เมืองร้อนเลย
แต่ผมมักจะแนะนำว่า เราอยู่เมืองร้อน ย่อมกินได้อย่างทางสายกลาง

ประการที่สอง บางคนกินผลไม้เพราะต้องการคุมอาหารมื้อเย็น
คือไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กินผลไม้โดยหวังที่จะลดน้ำหนัก
หรือลดไขมันเลือด ผลก็คือ น้ำหนักตัวยิ่งขึ้น ไขมันเลือดยิ่งไม่ลด เหตุผลก็คือ
ผลไม้มีความหวาน เมื่อกินแทนข้าว เจ้าตัวก็หลงกินไม่บันยะบันยัง
จึงเพิ่มน้ำตาลในเลือด และถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์
ซึ่งเป็นไขมันในเลือด คนกินหวานทุกชนิดก็เสี่ยงต่อไตรกลีเซอไรด์สูง
และไตรกลีเซอไรด์มีมาก ก็ถูกเก็บไว้ที่แก้มก้น และพุงกระทิได้
จึงไม่แคล้วอ้วนอยู่ดี

*กับดักสุขภาพประการที่ **6 *

*ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม** **เป็นคำตอบสุขภาพ*

ผมจำได้ว่าเมื่อบริษัทวิตามินจากออสเตรเลียจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย
เมื่อ 15 ปีที่แล้ว
ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นเภสัชกร
ที่เป็นตัวแทนของบริษัทวิตามินนี้ให้ช่วยเผยแพร่ความคิดเรื่องวิตามินให้แก่ผู้­บริโภค
ขณะนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักประโยชน์ของการกินวิตามิน
ยังไม่รู้จักคำว่า free radicals และไม่รู้จักคำว่า anti-oxidant
แม้ว่าความรู้ทางธรรมชาติบำบัดในยุโรป
สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียจะมีเรื่องราวเหล่านี้มากมายแล้วก็ตาม
เพราะขณะนั้นช่วงห่างระหว่างความรู้ในประเทศตะวันตกกับประเทศไทย
จะล่าช้ากว่ากันประมาณ
10 กว่าปี

ความรู้การแพทย์แบบแผนรู้จักวิตามินในฐานะสารตัวเล็กๆ ที่ช่วยป้องกันตาบอดกลางคืน
รักษาเหน็บชา ป้องกันลักปิดลักเปิด ซึ่งนับวันโรคเหล่านี้จะหมดไป
เมื่อผู้คนในสังคมอยู่ดีกินดีกันมากขึ้น
แต่ไม่รู้จักบทบาทใหม่ของวิตามินในอีกด้านหนึ่ง
จำได้ว่าขณะนั้นผมเขียนบทความธรรมชาติบำบัดในมติชนสุดสัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี
2534 จึงได้แนะนำเรื่องของสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคำบัญญัติใหม่โดย
ศ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์
ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิตามินก็มีบทบาทเป็น
สารต้านอนุมูลอิสระ
มีความรู้เหล่านี้พิมพ์เผยแพร่เป็นพ็อกเก็ตบุ้กโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์
และจัดเสวนาสุขภาพเมื่อวันที่
15 มีนาคม 2535
นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดบรรยายเรื่องราวทางสุขภาพให้ผู้คนมาร่วมกันฟังเป็นจ­ำนวนมากๆ
และเป็นที่มาของมหกรรมสุขภาพในขอบเขตต่างๆทั่วประเทศที่มีกันอยู่ในยุคปัจจุบัน­นี้
และรวมทรรศน์ก็ได้จักมหกรรมธรรมชาติบำบัดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
นับได้ 13 ปี


การบรรยายความรู้เรื่องวิตามินในฐานะแอนติออกซิแดนต์
ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องโรคเสื่อมของร่างกาย
และหันมาสนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะแนวคิดของผมก็คือ
วิตามินมีอยู่แล้วในพืชผัก ผลไม้ การจะป้องกันรักษาโรคหัวใจหลอดเลือด
กระทั่งโรคมะเร็ง
ก่อนอื่นให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมากินอยู่อย่างไทยเสียก่อน
ส่วนวิตามินที่กินเป็นเม็ดๆนั้น
ใช้เมื่อจำเป็น แต่ก็ทำให้วิตามินและอาหารเสริมในเมืองไทยเริ่มขายดี


กระนั้นก็ตาม ก็มีแพทย์จำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจ ได้กระทบกระเทียบว่า
"การกินวิตามิน รังแต่ทำให้น้ำปัสสาวะของคนเราแพงขึ้นเท่านั้นเอง"
พูดง่ายๆว่า เปล่าประโยชน์ที่จะกินวิตามิน
เนื่องจากพวกเขาในขณะนั้นยังไม่รู้เรื่องของ free radicals กันเลย
ครั้งเมื่อเห็นว่าวิตามินซีธรรมชาติกำลังขายดิบขายดี ก็มีแพทย์อีกจำนวนหนึ่งบอกว่า
"ระวังกินวิตามินซีมากๆจะเป็นนิ่วในไต"


ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ถ้าจะพิจารณากลไกการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย
ตามปกติในลำไส้ของเราจะมี receptor ซึ่งเป็นประตูเปิดรับวิตามินซี
ประตูเหล่านี้จะเปิดปิดมากน้อยตามความต้องการของร่างกายในแต่ละขณะ
คนปกติต้องการวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระวันละประมาณ
1,000 มก. ถ้ากำลังเครียดอาจเพิ่มความต้องการเป็น 2,000 มก.
ถ้ากำลังเป็นหวัดความต้องการจะเพิ่มเป็น
4,000-6,000 มก. และถ้าเป็นมะเร็งอาจมีความต้องการเพิ่มเป็น 10 พัน-50
พัน มก. ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการวิตามินในระดับนั้น
การกินวิตามินซีมากเกินความต้องการ ก็จะไม่ดูดซึมและถ่ายทิ้งไป
ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
เหมือนอย่างที่ใครสักคนหนึ่งกินมะขามมากๆแล้วท้องเสียนั่นแหละ
การเกิดนิ่วในไตจากวิตามินซีจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้


การกินวิตามินแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนั้น
และยิ่งแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อมีกิจการขายตรงแบบ MLM
ชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่กินวิตามินกันอย่างไม่อั้น
ก็คือ ชาวบ้านระดับไฮโซไฮซ้อ นั่นเอง


มิไยว่าผมจะพร่ำบอกให้ ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร กินอยู่อย่างไทยซะก่อน
ก่อนที่จะกินวิตามิน เพราะต้องอยู่ประการหนึ่งว่า
สารธรรมชาติเหล่านี้มีมากมายมหาศาล
สกัดกลั่นอย่างไรก็เอาออกมาเป็นเม็ดๆไม่ได้หมด
เพียงแค่ฟลาโวนอยด์ก็มีในธรรมชาติแล้ว
4,000 ชนิด แคโรทีนมีอยู่ 600 ชนิด และสารผักมีอีกมากกว่า 10,000 ชนิด
แต่ภูมิปัญญามนุษย์นั้นสามารถสกัดออกมาได้เพียง 100 กว่าชนิดเท่านั้นเอง
ดังนั้นถ้าจะคอยกินวิตามินโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร
ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย


กระนั้นก็ตามกิเลสของคนเรา ก็ทำให้ผู้คนมิได้สนใจในคำเตือนนี้เท่าไรนัก
จะมุ่งเอาแต่วิธีง่ายๆ คือคอยซื้อหาวิตามินมากิน กินแก้อ้วน กินให้หุ่นดี
กินให้ผิวสวย กินให้ไม่ท้องผูก
มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่ผมถูกเชิญไปบรรยายให้สโมสรชาวไฮโซทั้งหลายฟัง
พิธีกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็แปลก
คือเวลาเชิญเราไปบรรยาย เขาจะเร่งให้เรารีบๆกินอาหารให้จบๆไปก่อน
แล้วเมื่อสมาชิกของเขามากันพอสมควรแล้ว ทีนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารให้สมาชิก
แล้วเชิญเราขึ้นพูด นับว่าไฮคลาสพอสมควร คืออย่างน้อยๆเราก็ไม่ใช่ตลกคาเฟ่
ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ให้ผู้คนกินข้าวเคล้าเรื่องตลก
ต่างกันตรงที่ว่าเนื้อหาของเราที่บรรยาย
คุณภาพคับแก้ว ประจุไว้ด้วยสาระวิชาการ นั่นต่างหาก


พอบรรยายเสร็จ เขาก็เชิญเรานั่งร่วมโต๊ะ ทีนี้ละท่านผู้ไฮโซทั้งหลาย
จะพากันมาถามเป็นส่วนตัวว่าวิตามินตัวนั้น
ตัวนี้กินได้ ไม่กินดี เป็นต้น หลายๆท่านจะพกกระเป๋ามา 2 ใบ
ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์ อีกใบหนึ่งเป็นกระเป๋าวิตามิน
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "จะกินวิตามินเหล่านี้สักแค่ไหน
แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร เล่นกินโต๊ะจีน
กินอาหารฝรั่งอย่างที่เรากินกันมื้อนี้
กินไปอีกกี่ขวด ก็จะป่วยง่าย ตายเร็วอยู่ดี"


ก็มีคนพยักหน้า เชื่อผมอยู่หลายคน แต่ผู้จัดคงรู้สึกถึงความตรงไปตรงมาของผม
จากนั้นก็เคยไม่กล้าเชิญผมไปบรรยายให้ไฮโซไฮซ้อวงนั้นอีกเลย


ครับ ในแนวคิดของบัลวี เราถือว่า คนเราจะหายป่วยเจ็บ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง แต่เมื่อป่วยเจ็บเสียเต็มประดา
อย่างใครที่เป็นภูมิแพ้ เป็นมะเร็ง
การเอาอาหารที่เขาสกัดมาเป็นเม็ดเข้มข้นมากินเข้าไป
และถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บ ก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน


*อย่าทำให้ปัสสาวะของท่านแพงขึ้นด้วยวิตามินที่เกินความจำเป็น**
**แค่กินอาหารให้ถูกส่วน
กินผักผลไม้เยอะๆ** **ก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้วละครับ*