กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ: ยิ่งยึดยิ่งทุกข์

  1. #1

    สว่างใจ ยิ่งยึดยิ่งทุกข์

    ยิ่งยึดยิ่งทุกข์

    จากหนังสือ ได้เวลาชำระจิตชำรุด โดย ปันยา



    ยิ่งยึดยิ่งทุกข์


    เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ณ โคนต้นศรีมหาโพธิ์นั้น พระองค์ทรงเปล่งพุทธอุทานว่า ทุกุขา ชาติ ปุนปฺปุนํ ซึ่งหมาย การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์

    แต่แปลกที่คนส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็น และไม่เคยรู้สึกว่าการเกิดเป็นทุกข์สักนิดเลย ตรงกันข้ามกลับยังชื่นชมยินดีในการเพิ่มจำนวนทุกข์เสียอีกด้วยการสมรู้ร่วมคิด (และสมคิดร่วมรู้) กระทำการเกิดให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นแต่ละนาทีวินาที

    ทั้งเกิดความโลภ โกรธ หลง รักใคร่ ผูกพัน ยืดมั่น ตัณหา รวมไปถึงการก่อกำเนิดชีวิตใหม่ จนทุกวันนี้มีผู้ร่วมทุกข์ร่วมโศกกับเธอและฉัน ที่อาศัยอยู่บนโลกกลม ๆ แต่ไม่เกลี้ยง แถมยังบิด ๆ เบี้ยว ๆ ใบนี้ เต็มไปหมด

    การเกิดของทุกชีวิตนั้น นอกจากจะมีทุกข์ทางกาย (เจ็บ) ซึ่งเป็นไฟล์ทบังคับ ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงเสื่อมโทรมไปของอวัยวะ 32 ชิ้นส่วนในร่างกาย เช่น เดี๋ยวปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ คลื่นเหียนอาเจียน หน้ามืดตามัวปวดแข้งขาหน้าหลัง ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดอุจจาระปัสสาวะ เป็นมะเร็ง เบาหวานความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ แล้ว

    ยังต้องเผชิญกับความแก่ และ ตาย ซึ่งไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเบี่ยงเบน หรือทำให้ข้ามซ็อตได้ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ อริยสงฆ์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เจ้าขุนมูลนาย แพทย์พยาบาล เศรษฐียาจก นายนิรันดร์ นางอมร นายกสมาคมชมรมอมตะ ฯลฯ ก็ไม่มีการยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น

    ส่วนทุกข์ทางใจนั้น เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเอาหรือไม่เอา อยากจะมีหรือไม่มี จะปฏิเสธ บอกปัด ไม่รับไว้ก็ได้ ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น รู้จักทำใจให้เคยชินกับความไม่แน่นอน ให้ยอมรับในสิ่งที่ไม่สามารถบังคับความคุมได้

    แต่คนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะแบก รับ ยืด และเกาะกุม กำไว้แน่น มากกว่ายอมปล่อย หรือสลัดทั้งไป

    เมื่อมาถึงตรงนี้ ทำให้ฉันนึกถึงเพลงที่มีเนื้อร้องดี ๆ ท่อนหนึ่งที่ว่า...

    “ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ
    ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
    ให้เธอควรคิดเอาเอง
    ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ
    ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
    ถูกเขาทำร้าย
    เพราะใจเธอแบกรับมันเอง/(เพราะใจเธอรับไว้เอง)”

    ฉันก็ขออนุญาตกล่าวถึงภาษาเพลงเป็นภาษาพูดหน่อยนะ กับประโยคที่ว่า “ไม่มีอะไรจะร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ” ก็เหมือนเป็นการบอกว่าคนเราจะมีทุกข์มาก ทุกข์น้อย หรือไม่ทุกข์เลยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับใจของตัวเองหากใครปล่อยวางได้มาก ไม่รับมันมาใส่ใจ ความทุกข์ก็จะไม่มี หรือมีน้อยลงไป ส่วนใครที่รับมาใส่มาก ยึดมั่นถือมั่นมาก ก็จะมีทุกข์มากตามไปด้วย

    ยกตัวอย่าง วันหนึ่ง ๆ เรามักจะได้ข่าวคราวการเสียชีวิต บาดเจ็บล้มตายของผู้คนมากมาย ทั้งจากภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ เจ็บป่วย โรคชรา ตีรันฟันแทง ยิงทิ้งอุ้มฆ่า หรือฆ่าตัวตายเองก็มี ตลอดจนถึงการสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ที่ดินไร่นา รถราบ้านช่อง เพชรพลอย เครื่องประดับ ฯลฯ ที่เกิดขึ้นทุกวี่วัน

    เราก็รู้สึกเฉย ๆ ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่ทุกข์ร้อนอะไร เพียงแต่รับรู้รับทราบเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องไกลตัว ไม่เกี่ยวข้องกับเรา ไม่ใช่คนรักของเรา ไม่ไดเป็นคนในครอบครัวเรา เราไม่เคยรู้จัก และไม่ใช่ของของเราด้วย

    แต่ถ้าคนนั้นเป็นผู้ที่เรารู้จัก เคยพบปะพูดคุยด้วย เป็นบุคคลใกล้ชิด หรือเป็นสิ่งที่เราซื้อหาได้มา เป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่ ความรู้สึกที่เคยเฉยก็เริ่มจะไม่เฉย และรู้สึกว่า อยู่ไม่เป็นสุขซะแล้ว

    ยิ่งถ้าคนนั้นเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน สามีภรรยา ผู้สนิทสนมกันมานาน หรือรถราบ้านเรือน สมบัติมีค่า ที่มีความผูกพันรักใคร่ มีความสำคัญต่อชีวิตเรา คนส่วนใหญ่มักจะต้องมีปฏิกิริยาอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่นเศร้าสร้อยซึมเซา เสียอกเสียใจ ตีอกชกตัว อาลัยอาวรณ์ ร้องห่มร้องไห้ เพราะทำใจไม่ได้ ปล่อยวางไม่ลง บางคนถึงกับไม่เป็นอันกินอันนอนนับสัปดาห์แรมเดือนก็มี

    ที่ต้องออกอาการเช่นนั้น ก็เพราะมันเป็นเรื่องยาก สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกเตรียมใจไว้ก่อน ไม่เคยทำความเข้าใจในเรื่องของชีวิต ว่าหลังจากเกิดแล้ว ก็ต้องมี แก่ เจ็บ และตาย ติดตามมาด้วยเสมอ เหมือนเป็นโปรโมชั่นแพ็กเกจ 4 in 1 ไม่สารมารถเลือกเฉพาะเกิดอย่างเดียวได้

    ไม่เคยพยายามทำความเข้าใจเลยว่า ทุกชีวิตทุกสรรพสิ่งล้วนต้องอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ (ลักษณะสาม) คือ อนิจัง (ไม่เที่ยง ไม่คงที่ สภาพที่เกิดมีขึ้นแล้วก็ดับล่วงไป) ทุกขัง (สภาพที่ทนอยู่ใต้ยาก สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้นและความดับสลาย เนื่องจากต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ขึ้นต่อตัวมันเอง) และ อนัตตา (ไม่ใช่ตัวใช่ตน เช่น เป็นของสูญเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใคร ๆ ) หรือที่ท่าน ว.วชิรเมธี สรุปเป็นความหมายที่เข้าใจง่าย ๆ ว่า ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้ นั่นเอง

    จึงไม่มีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า ว่าจะต้องพบกับความไม่แน่นอนที่เปลี่ยนแปลงแปรผันไปได้ตลอดเวลา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อต้องประสบกับความสูญเสีย ผิดหวัง ในเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมาจริง ๆ จึงได้แต่หมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องในอดีตที่เคยมีเธอคนนั้นอยู่ คิดถึงเรื่องอนาคตว่าเมื่อไม่มีเขาแล้ว เราจะอยู่อย่างไร เมื่อไม่มีสมบัติทรัพย์สินเงินทองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะเดือนร้อนแค่ไหน เราอุตส่าห์หวังจะให้เป็นที่พึ่งพา แต่กลับมาด่วนจากไปเสียก่อนทั้งคนทั้งของ

    ยิ่งคิดยิ่งเศร้า เมื่อเศร้าแล้วก็ยิ่งไม่มีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา หมดหนทางออก

    ณ เวลาวิกฤตเช่นนี้ มีเพียงสติเท่านั้นที่จะช่วยคลายทุกข์ให้ลดลงได้อดีตก็ผ่านไปแล้ว ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับมาได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึงมัวแต่กังวลก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เหลือแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่ยังพอทำอะไรได้บ้าง

    คือ ต้องเริ่มด้วยการหยุดคิดฟุ้งซ่าน ในเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและอยู่นอกเหนือการควบคุมของเราให้ได้ซะก่อน

    ถ้าจะคิด ก็ขอให้คิดถึงเหตุแห่งความทุกข์ของเราจะดีกว่า พยายามมองให้ออกว่า ที่ทุกข์อยู่ขณะนี้ ก็เพราะว่ายังยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่เคยได้ เคยมีเคยเป็น ใช่หรือไม่? ซึ่งก็มีคำตอบเดียวที่ถูต้องคือ “ใช่” และทางออกเดียว ณ เวลานี้ก็คือ คลายความยึดมั่นถือมั่นนั้นเสีย พยายามปล่อยวางให้ได้โดยเร็ว แล้วชีวิตที่เป็นปกติก็จะกลับคืนมา

    อย่างที่ พระโพธิญาณเถร (หลวงปูชา สุภทฺโท) ท่านสอนเรื่องการหัดให้รู้จักทำใจไว้ล่วงหน้าว่า “...เห็นแก้วที่แตกอยู่ในแก้วใบไม่แตก เพราะเมื่อมันหมดสภาพแล้ว ไม่ดีเมื่อไหร่มันก็จะแตกเมื่อนั้น ทำความรู้สึกอย่างนี้แล้วก็ใช้แก้วใบนี้ไป รักษาไป อีกวันหนึ่งมันหลุดมือแตก “ผัวะ” ...สบายเลย...”

    ฉันขอนำบทเพลงที่มีเนื้อหาดี ๆ อีกเพลง มาร้องให้ฟัง เผื่อจะช่วยให้ใครบางคน เข้าใจเรื่องชีวิตและความทุกข์ได้ดีขึ้น ถ้าใครร้องได้ และมั่นใจว่าไม่เป็นการสร้างมลภาวะทางเสียงให้ผู้อื่น จะร้องตามไปด้วยก็ได้ ไม่ว่ากัน



    เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน
    จนบางครั้งคนเรา ไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
    ความสุขความทุกข์ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่
    จะยอมรับความจริง ที่เจอได้แค่ไหน (ฮื้อ ฮือ)

    เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
    มีสุขสม มีผิดหวัง หัวเราะ หรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
    อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
    อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
    สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล
    จะได้รับความจริง เมื่อต้องเจ็บปวดไหว (ฮื้อ ฮือ)

    ในเมื่อเส้นทางชีวิตของคนเรา ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีได้โปรยปรายอบอวลด้วยกลิ่นมะลิ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อมเสมอ ที่จะพบกับอุปสรรคปัญหา และนานาเหตุการณ์ไม่คาดคิด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง แบบฉับพลันทันทีโดยให้ตั้งตัวก็ได้

    การมีสติอยู่กับปัจจุบัน ยอมรับในความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และสลัดความยืดมั่นถือมั่นในความเป็น “ตัวเรา ของเรา” ให้หมดสิ้น ยิ่งปล่อยวางได้มากและเร็วเท่าใด ก็จะพ้นความทุกข์ทางใจได้เร็วขึ้นเท่านั้น

    จะขอยกเนื้อร้องประโยคเหล่านี้มาย้ำอีกสักครั้ง เพื่อเป็นการเตือนใจให้กับทุก ๆ ค น รวมถึงตัวฉันด้วยก็แล้วกัน

    “ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ”
    “มีสุขสม มีผิดหวัง หัวเราะ หรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
    อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน”

    และ “สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล
    จะได้รับความจิรง เมื่อต้องเจ็บปวดไหว” (ฮื้อ ฮือ)


    รีบฝึกร้องท่องจำ ทำความเข้าใจเนื้อหาสาระในเพลง ให้คล่องให้ขึ้นใจซะตอนนี้ จะได้ไม่ต้องมานั่งร้อง “ฮือ ฮือ แง แง” น้ำตาเช็ดหัวเข่า ในภายหลังไง !

  2. #2
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ maxwell007
    วันที่สมัคร
    Dec 2007
    ที่อยู่
    สามย่าน
    กระทู้
    474
    บล็อก
    14
    เวลานี้ถ้าทุกคนกลับมาหาธรรมบ้างกะคือสิดีเนาะ จิตใจสิได่สงบลงบ้าง

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •