ขันหมากเบ็ง
ขันหมากเบ็ง หรือ ขันหมากเบญจ์ คือพานพุ่มดอกไม้ที่ใช้เป็นพานพุ่มบูชาในพิธีกรรม และบูชาพระรัตนตรัยในวันอุโบสถ หรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งการนำไปบูชาวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว โดยนำไปวางไว้ตามเสารั้ววัด หรือหลักเส (ธาตุ ทำด้วยไม้แก่น แกะสลักสวยงามเจาะให้เป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดสี่นิ้วฟุต สำหรับบรรจุอัฐิ) ซึ่งนิยมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และวันสงกรานต์
ขันหมากเบ็ง คือพานพุ่มใส่ดอกไม้ หรือเครื่องบูชา 5 อย่าง ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน ข้าวตอก ดอกไม้ อย่างละ 5 คู่ ใช้ใบตองทำเป็นซวย (กรวย) – บายศรี ใช้ใบตองรีดซ้อนกันให้เป็นรูปคล้ายเจดีย์ ทำเป็นสี่มุมรวมทั้งตรงกลางเป็น 5 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว สูง 6- 8 นิ้ว ประดับประตูด้วยเครื่อง 5 อย่าง ดังได้กล่าวแล้ว ไว้บนยอดแหลมของบายศรี-กรวย-ซวย เรียงลดหลั่นลงมาตามลำดับเพื่อความสวยงาม
ดอกไม้ซึ่งเป็นที่นิยม เช่น ดอกดาวเรือง (จะทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง) ดอกสามปีบ่อเหนี่ยว(ดอกบายไม่รู้โรย) เชื่อว่าจะทำให้อายุมั่น ขวัญยืน แต่ปัจจุบันเห็นนิยมใช้ดอกรัก (ทำให้เกิดความรัก)
วิธีการใช้ขันหมากเบ็ง-เบญจ์
-ใช้เป็นเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัย
-ใช้เป็นเครื่องสักการะอยู่ในเครื่องพลีกรรม ไหว้ครู บอกผี (เซ่นสรวงดวงวิญญาณ)
-บูชาวิญญาณบรรพบุรุษ โดยนำไปบูชาตามหลักเส (ธาตุ) ที่บรรจุอัฐิ (กระดูก)
-เป็นเครื่องให้พิจารณาเตือนคนได้ พิจารณาเบญจขันธ์คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูป คือ ร่างที่คลุมรวมกันไว้ด้วยธาตุ 4 อันเป็นส่วนที่ปรากฏด้วยตา
เวทนา การเสวยอารมณ์ รู้สึกสุข เดือดร้อน เจ็บ แค้นใจ เบิกบาน เฉยๆ
สัญญา รู้และจำอารมณ์ที่ผ่านอวัยวะทั้ง 6 เข้ามาแล้วบันทึกไว้ในใจ
สังขาร สภาวะปรุงแต่งวิญญาณ ผู้ก่อกรรมเกิดรูปนามติดต่อไป
วิญญาณ รู้แจ้งอารมณ์ภายในที่สัมผัสปัจจัยภายนอก
พ่อบำเพ็ญ ณ อุบล ได้อรรถาธิบายเพิ่มเติมว่า นอกจากใช้ขันหมากเบ็ง เป็นเครื่องสักการระบูชาพระรัตนตรัยแล้ว ยังใช้ในการกราบไหว้ผู้ที่เคารพอย่างสูงอีกด้วย โดยมีเหตุผลว่า
-การกราบโดยทั่วไป เป็น “ นามธรรม ” (เพราะเมื่อกราบเสร็จเหตุการณ์ก็ผ่านไป)
- การกราบบูชาด้วยขันหมากเบ็ง เป็น “ รูปธรรม ” เพื่อให้การกราบคงอยู่ในรูปขันหมากเบ็ง
ดังนั้น การกราบบูชาด้วยขันหมากเบ็ง จึงเสมือนการกราบด้วยเบ็ญจางคประดิษฐ์ เป็นเครื่องเบ็ญจขันธ์
เวลาหลายปีที่ผ่านมา ชาวอุบลฯ ได้ใช้ขันธ์หมากเบ็งเพื่อสักการบูชา ตามความหมายดังกล่าวข้างต้น ในงานต่างๆ เช่น
-สักการะเทียนหลวงพระราชทาน งานประเพณีแห่เทียนพรรษา
-การบวงสรวงสักการะพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ผู้สร้างเมืองอุบล/เจ้าเมืองคนแรก
-ถวายสักการะ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ งานพิธีบายศรีเฉลิมพระขวัญฯ ภาพจำลองเคลื่อนที่ งานแห่เทียนพรรษาฯ
-ถวายสักการะ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “ งานราชภัฎมหกรรมวิชาการ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี ด้านวัฒนธรรม ” 13 สิงหาคม 2547
นอกจากนี้ยังใช้ขันหมากเบ็ง เป็นเครื่องสักการบูชาในวาระสำคัญต่างๆ อีกด้วย
อาจจะกล่าวโดยสรุปด้วยได้ว่า “ การบายศรีสู่ขวัญ ” และการสักการบูชาด้วย “ ขันหมากเบ็ง ” ชาวอีสานได้ยึดถือเป็นประเพณี และปฏิบัติสืบเนื่องมาตลอดถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ทรงคุณค่ายิ่งของชาวอีสาน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้ชำนาญการในการจัดทำ “ พานบายศรี ” หรือ “ พาขวัญ ” และ “ ขันหมากเบ็ง ” มีจำนวนน้อย และอายุมากแล้ว ควรที่จะมีการสืบทอดจัดกิจกรรม “ การพัฒนาอาชีพบายศรีอีสานแบบบูรณาการสู่ชุมชน ” เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานโดยนำมาประยุกต์กับศิลปะยุคใหม่ให้เกิดความประณีตสวยงาม อ่อนช้อย สร้างอาชีพ ให้เกิดรายได้แบบยั่งยืน เป็นการส่งเสริม “ วัฒนธรรมาชีพ ” ก่อประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ตลอดไป
ความสำคัญในการ “ บายศรี ” หรือ “ พาขวัญ ” และ “ ขันหมากเบ็ง ” สิ่งที่ต้องใช้มากที่สุดคือ “ ใบตอง ” ซึ่งต้องใช้ฝีมือ ความชำนาญ ความประณีตเป็นพิเศษ การเลือกใบตองจะต้องอ่อน แก่ พอๆ กัน สีจะได้เสมอกัน ต่อด้วยการพับ การรีดตองให้เป็นรูปที่ต้องการ พับตองสวยงามแล้วเอาแช่น้ำสารส้มไม่ให้ใบตองเปลี่ยนสี ถึงเวลาเอามาผึ่ง แล้วทาน้ำมันมะกอกให้ใบตองขึ้นเงา
สภาวะของ “ ใบตอง ” ในพานบายศรีกับเมื่อเสร็จงานแล้ว แตกต่างกันอย่างไร เห็นได้ดังนี้
“ พานบายศรี ” เป็นสิ่งที่บ่งบอกคติธรรมทางพุทธสาสนา 2 ประการ คือ “ สัจธรรม ” ความจริงแท้แน่นอน กับ “ อนิจจัง ” ความไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน ไม่ถาวรมั่นคง ไม่จีรังยั่งยืน ดังคำกลอน “ สุนทรภู่ ” ที่ร้อยกรองไว้ว่า
“ เหมือนบายศรี มีงาน ท่านถนอม เจิมแป้งหอมกระแจะจันทร์ เครื่องหรรษา
พอเสร็จงาน ท่านทิ้ง ลงคงคา ต้องลอยมา ลอยไป เป็นใบตอง ”
ช่วงเป็นใบตอง ระยะเวลา ยาวนาน ช่วงเป็นบายศรีระยะเวลาสั้น เพราะฉะนั้น อย่าทะนงตัวหรือทะนงศักดิ์ในช่วงที่เ
Bookmarks