Blog Comments

  1. สัญลักษณ์ของ lungyai1123


    กล้วยน้ำว้า สรรพคุณ ประโยชน์ บำรุงร่างกายและดูแลสุขภาพ กล้วยน้ำว้า เป็นผลไม้ไทยๆ ที่มีมาแต่โบราณเป็นภูมิปัญญาไทยมีแค่ประเทศไทยประเทศเดียว คนไทยทุกคนเกิดมาก็ต้องรู้จักกล้วยน้ำว้าเป็นอย่างดี

    กล้วยน้ำว้า ถึงจะเป็นผลไม้ ที่ไม่น่าจะให้พลังงานได้เยอะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยเป็นแหล่งพลังงานสำรองชั้นดี ในกล้วย 1 ผล สามารถให้พลังงานได้ร่วม 100 แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ 3 ชนิด ทั้ง ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโครส รวมไปถึงเส้นใยและกากอาหาร และอุดมด้วย วิตามินบี 6 ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แถมแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันโรคความดันอีก


    ในบรรดากล้วยทั้งหมด กล้วยน้ำว้าให้แคลเซียมสูงที่สุด นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 ซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่า ๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้า มีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นก็คือ โปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง


    สรรพคุณของกล้วยน้ำว้าช่วยป้องกันโรค

    1.กล้วยน้ำว้า ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ รับประทานวันละ 5 - 6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลดน้อยลง

    2. กล้วยน้ำว้า ยังช่วยระงับกลิ่นปากได้ วิธีการก็คือ รับประทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้มาก

    3.กล้วยน้ำว้า ยังสามารถรักษาโรคกระเพาะ เพราะในกล้วยน้ำว้ามีสารแทนนินอยู่มาก จึงสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้

    4.กล้วยน้ำว้า แก้ท้องผูก ก็สามารถแก้ท้องเดินหรือท้องเสียได้

    จะเห็นได้ว่ากล้วยน้ำว่ามีประโยชน์มากมาย กล้วยน้ำว้าหารับประทานได้ไม่ยาก ราคาของกล้วยน้ำว้า ก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับผลไม้อื่น หากได้รับประทานกล้วยน้ำว้า เพียงวันละ ลูก ก็จะทำให้เราห่างไกลหมอได้พอสมควร หากได้รับประทานกล้วยน้ำว้า เพียงวันละ 5-6 ลูก ก็จะทำให้เราห่างไกลหมอได้พอสมควร


    เกร็ดความรู้ นอกจากนี้ กล้วยน้ำว้า ยังมีแคลเซียมสูงและดูดซึมได้เร็ว 5-6 เท่า เมื่อถูกความร้อนโ ดยเฉพาะ กล้วยบวชชีและกล้วยปิ้ง


    http://men.sanook.com/1453/กล้วยน้ำหว้า
  2. สัญลักษณ์ของ lungyai1123


    ฮือฮาขนมปังชุบน้ำส้มสายชูรักษาอาการนิ้วล็อค
    เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 26 ก.ค. นายเลิศ อักษรนิตย์ อายุ 56 ปี ผู้สื่อข่าวอาวุโส จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเกิดอาการนิ้วล็อค ได้นำขนมปัง 1 แผ่นชุบน้ำส้มสายชู วางทับบนฝ่ามือด้านขวา โดยขนมปังทาบนิ้วทุกนิ้ว ก่อนจะใช้ผ้าก๊อซพันให้ขนมปังแนบกับผ่ามือและนิ้วมือ เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย สร้างความฮือฮาให้แก่ชาวบ้านที่พบเห็นเป็นจำนวนมาก

    นายเลิศ เปิดเผยว่า การทำในลักษณะดังกล่าวเป็นการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นรักษาอาการนิ้วล็อคซึ่งในปัจจุบันมีคนเป็นกันเยอะ ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่นิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้างรวมทั้งบริเวณข้อนิ้วอื่น ๆ ด้วย สำหรับตนเป็นที่ข้อนิ้วกลางและข้อนิ้วนาง จะมีอาการเจ็บปวดข้อนิ้วเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเช้าหรือช่วงอากาศเย็น ๆ ซึ่งได้เดินทางไปพบแพทย์มาแล้ว 4 ครั้งและแพทย์ได้ฉีดยาให้ทุกครั้งและทำให้อาการนิ้วล็อคหายไประยะหนึ่งแต่ก็กลับมาเป็นอีก จนแพทย์ระบุว่าหากยังไม่หายวิธีสุดท้ายคือการผ่าตัดรักษา

    “สำหรับสาเหตุอาการนิ้วล็อคเกิดมาจากพังผืดยึดหุ้มบริเวณข้อนิ้ว หรือเมื่อเป็นแล้วจะมีอาการปวดมาก ข้อนิ้วที่ล็อกจะเข็บปวดและงอหรือยืดไม่ได้ จะมีอาการปวดตลอดเวลาแม้แต่การจับปากกาเขียนหนังสือหรือหยิบจับอะไรแทบไม่ได้ โดยคนที่เป็นคิดว่าเส้นยึดธรรมดาเอาน้ำมันทาถูนวดเพื่อคลายเส้นแต่ไม่หายกลับมีอาการปวดมากขึ้น ในที่สุดท้ายต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลหากเป็นไม่มากแพทย์จะฉีดยาก็จะหาย แต่หากกลับมาเป็นอีกซ้ำ ๆ ซาก ๆ แพทย์จะผ่าตัดนิ้วที่เป็นเล็กน้อยแล้วทำการสะกิดเส้นแล้วปิดแผล ซึ่งใช้เวลาไม่นาน หลังจากนั้นไม่กี่วันอาการนิ้วล็อกจะหายเป็นปกติ”

    ผู้สื่อข่าวคนเดิมกล่าวอีกว่าครั้งแรกคิดว่าจะไปพบแพทย์เพื่อผ่าตัดรักษา แต่ได้รับการแนะนำจากพรรคพวกเพื่อนฝูงว่าให้ใช้สูตรการรักษาแบบง่าย ๆ ไม่ต้องผ่าตัด โดยเมื่อเกิดการนิ้วล็อคที่นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วไหนก็ตาม ให้เอาขนมปังแผ่นซึ่งมีขายทั่วไป จะใช้ทั้งแผ่นหรือตัดเอาขนาดพอใช้หุ้มนิ้วที่มีอาการนิ้วล็อค จากเอาน้ำส้มสายชูชนิด 5% ชุบกับชิ้นขนมปังที่ตัดเตรียมไว้ให้ชุ่ม นำมาพอกบริเวณข้อนิ้วที่ล็อกจากนั้นไช้ผ้าก๊อซหรือผ้าบาง ๆ พันเอาไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงจึงแกะออก ให้ทำวันละครั้งจะทำตอนไหนก็ได้ และทำเรื่อย ๆ ขนมปังและน้ำส้มสายชู 5 % จะช่วยละลายพังผืดที่หุ้มข้อนิ้วกับหินปูนที่เกาะตามข้อให้หมดไปทำให้อาการนิ้วล็อคหายได้ โดยสูตรดังกล่าวมีผู้นำไปทดลองแล้วได้ผลดีเกินคาด จึงทดลองทำตามเผื่อไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด เชื่อว่าหากทำต่อเนื่องสัก 10 วันอาการนิ้วล็อคที่เป็นอยู่ก็จะหายเป็นปกติได้อย่างแน่นอน แต่หากยังไม่หายก็จำเป็นที่จะต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดรักษาต่อไป



    http://www.dailynews.co.th/thailand/221703
  3. สัญลักษณ์ของ lungyai1123


    คะน้า & มะระ แก้อาการหอบหืด

    หอบหืด

    เห็นได้ว่าผัก 2 ชนิดนี้มีรสชาติที่ขม แต่คุณรู้ไหมว่าสรรพคุณของผัก 2 ชนิดนี้ สามารถรักษาอาการหอบหืดได้เป็นอย่างดี จากผลการวิจัยของ ดร.หรงฮัว จูเกอ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเส็ตส์ สหรัฐอเมริกา ทดสอบปฏิกิริยาต่อมรับรส

    โดยหยดรสชาติขม ๆ ของสารสกัดจากคะน้า และมะระให้กับหนูทดลอง 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีสุขภาพแข็งแรง อีกกลุ่มเป็นโรคหอบหืด ไม่น่าเชื่อว่ารสขมปี๋ สามารถลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบในหลอดลม ทั้งยังช่วยขยายหลอดลมในหนูทดลองที่เป็นหอบหืดได้อีกด้วย

    นักวิทยาศาสตร์จึงแนะให้เด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด ลองเพิ่มเมนูอาหารรสขมอย่างน้อย 3 มื้อในแต่ละสัปดาห์ เพื่อคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลอดลม เมื่อถูกโจมตีด้วยฝุ่นหรือละอองเกสรที่ทำให้ร่างกายต่อต้าน

    นอกจากนี้ การทดลองดังกล่าวยังถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญว่า ต่อมรับรสไม่ได้มีอยู่ในเซลล์บนลิ้นเท่านั้น แต่ยังแทรกอยู่ตามเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายเราอีกด้วย
    ไม่เพียงเท่านั้นสรรพคุณของผัก 2 ชนิดนี้ยังมีอีกมากมาย อนึ่งมะระ มีฤทธิ์เย็นช่วยดับกระหายและสามารถย่อยได้ง่าย ส่วนคะน้า ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด

    สรรพคุณเยอะขนาดนี้อย่าลืมหาซื้อมาทานกันนะค่ะ

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก จามจุรี บุญกล้า
    ปริญญาตรีภาควิชาสาธารณสุขศาสตร์
    มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
  4. สัญลักษณ์ของ lungyai1123

    ชนิด C. perlatus


    ปูเสฉวนบก (อังกฤษ: Land hermit crab) เป็นปูเสฉวนในสกุล Coenobita มีทั้งหมด 15 ชนิด ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5 นิ้ว มีรูปร่างหน้าตาคล้ายปูเสฉวนทั่วไป และอาศัยอยู่ในเปลือกหอย แต่ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในน้ำได้ เนื่องจากระบบการหายใจถูกพัฒนาให้รับออกซิเจนโดยตรง ถ้าลงไปในน้ำจะสำลักน้ำตายได้เหมือนปูมะพร้าว (Birgus latro) แต่จะลงไปกินน้ำทะเลเพื่อต้องการเกลือแร่ อีกทั้งยังต้องการน้ำจืดอีกด้วย
    ปูเสฉวนบกมีถิ่นกำเนิดที่ทวีปอเมริกาเหนือ, ทะเลแคริบเบียน, หมู่เกาะเบอร์มิวดา, ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย จะอาศัยอยู่บนบกหรือในป่าริมชายทะเล กินอาหารจำพวกซากพืช ซากสัตว์เหมือนปูเสฉวนทั่วไป
    ปัจจุบันปูเสฉวนบกกำลังได้รับความนิยมในฐานะเป็นสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้เลี้ยงนิยมใช้สีทาบนเปลือกหอยให้เป็นสีสันและลวดลายต่าง ๆ แต่เป็นปูที่ค่อนข้างมีความยุ่งยากในการเลี้ยง เนื่องจากถึงแม้ว่าจะอาศัยอยู่บนบกก็ตาม แต่ในสถานที่เลี้ยงต้องใช้ความชุ่มชื้นด้วย และปูพื้นด้วยกรวดทรายและขอนไม้ หรือมะพร้าวผุ และมีความจำเป็นต้องใช้แคลเซี่ยมเพื่อเป็นแร่ธาตุด้วย ไม่เช่นนั้นอาจตายได้


    ชนิด C. clypeatus

    ชนิด C. compressus

    การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

    อาณาจักร: Animalia

    ไฟลัม: Arthropoda

    ไฟลัมย่อย: Crustacea

    ชั้น: Malacostraca

    อันดับ: Decapoda

    อันดับฐาน: Anomura
    วงศ์ใหญ่: Paguroidea

    วงศ์: Coenobitidae
    สกุล: Coenobita

    Latreille, 1829



    ชนิด

    C. brevimanus
    พบได้ในประเทศไทย

    C. cavipes
    พบได้ในประเทศไทย

    C. carnescens

    C. clypeatus

    C. compressus

    C. olivieri

    C. perlatus

    C. pseudorugosus

    C. purpureus

    C. rubescens

    C. rugosus
    พบได้ในประเทศไทย

    C. scaevola

    C. spinosus

    C. variabilis

    C. violascens







    ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%81
    http://www.baanmaha.com/community
  5. สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    "หุบเขาที่มีธารน้ำแข็ง" (Upsala Glacier)





    Glacier อัพเซลา



    อัพเซลาธารน้ำแข็งเท่าที่เห็นจากสถานีอวกาศนานาชาติตุลาคม 2009 คลิกที่นี่สำหรับบันทึกภาพ
    อัพเซลาธารน้ำแข็งขนาดใหญ่เป็นหุบเขาธารน้ำแข็งในอาร์เจนตินา 's Los Glaciares อุทยานแห่งชาติ . มันไหลออกมาจากใต้สนามน้ำแข็ง Patagonianซึ่งยังฟีดที่ใกล้เคียงธารน้ำแข็ง Perito Moreno . ปลายทางของธารน้ำแข็งที่Lago Argentino . อัพเซลาธารน้ำแข็งเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับการล่าถอยอย่างรวดเร็ว, ซึ่งหลายคนเห็นเป็นหลักฐานในการลดภาวะโลกร้อน .
    ชื่อนี้ได้มาจากการสะกดเก่ากับpของมหาวิทยาลัย Uppsalaซึ่งการสนับสนุนครั้งแรกที่การศึกษา glaciologicalในพื้นที่
    ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างต่อเนื่องเกือบธารน้ำแข็งจนถึง 1999 มีการชะลอตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ (ณ 2003) ก่อนหน้านี้ในการเร่งการเคลื่อนไหวน้ำแข็งในช่วงสองทศวรรษก่อน 1999 อาจจะได้รับผลดีโดยการเปิดตัวของbackstressเมื่อธารน้ำแข็งถอยไกลออกไปในหมู่เกาะBrazo อัพเซลา
    .


    อัพเซลาธารน้ำแข็ง Argentina.

    Santacruz-อัพเซลา-P2140135b.


    อัพเซลา Glacier


    อัพเซลา Experience.JPG เรือคายัค



    ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Upsala_Glacier
    http://www.baanmaha.com/community
  6. สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    ปวยเล้ง ชะลอความแก่




    ปวยเล้ง ชะลอความแก่

    ปวยเล้ง (ผักโขมจีน) Chineses spinach มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Amaranthus Lividus Linn. วงศ์ Amaranthaceae เป็นพืชล้มลุกปีเดียว ลำต้นสีเขียวตรงแตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเดี่ยวรูปไข่คล้ายสามเหลี่ยมดอกเป็นช่อสีม่วงปนเขียวออกตามซอก

    ปวยเล้งเป็นผักบำรุงสุขภาพชั้นยอด เพราะมีวิตามินเอ, วิตามินซี, กรดอะมิโน, ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัสสูง, บีตาแคโรทีน และซาโปนิน นอกจากนี้ ยังมีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยให้ขับถ่ายได้ดี ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้

    มีทฤษฎีหนึ่งกล่าวไว้ว่า ความชราเกิดจากกรดนิวคลิอิกทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ แต่กลับเสื่อมสลายไปก่อน ซึ่งกรดนิวคลิอิก (Nucleic Acid) ก็คือสารประกอบอินทรีย์ใด ๆ ที่ประกอบเป็นวัสดุพันธุกรรมของเซลล์สิ่งมีชีวิต

    กรดนิวคลิอิกกำหนดแนวทางการสังเคราะห์โปรตีน จึงกำกับกิจกรรมทั้งหลายเซลล์ การส่งผ่านจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นเป็นพื้นฐานของพันธุกรรม กรดนิวคลิอิกมี 2 ชนิดหลักคือ DNA กับ RNA นั่นเอง

    ในหนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า

    การบริโภคปวยเล้งจะช่วยชะลอความชรา เพราะในปวยเล้งมีกรดนิวคลิอิกมาก นอกจากนี้ ยังมีวิตามินเอและซีที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง

    วิตามินซีในปวยเล้งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสหวัด ช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด แม้จะยังแข็งแรง ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรก็กินปวยเล้งได้ เพราะจะทำให้มีภูมิต้านทานเชื้อไวรัส ทำง่าย ๆ เพียงสกัดน้ำจากปวยเล้งแล้วดื่มวันละ 1-2 แก้ว จะทำให้ไข้หวัดลดลง

    ทีมเดลินิวส์/วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2556
    http://www.dailynews.co.th/article/822/239071
  7. สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    "บรูด้า" โผล่ทะเลกรุงเทพ 40 ตัวเริงร่าอ่าวตัว ก. บรรจุสัตว์ประจำถิ่น



    "บรูด้า" โผล่ทะเลกรุงเทพ 40 ตัวเริงร่าอ่าวตัว ก. บรรจุสัตว์ประจำถิ่น

    เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และนายเกษมสันต์ จิณณวาโส หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ทส. ว่า หลังจากที่ ทช.โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ได้สำรวจเก็บข้อมูลเรื่องวาฬบรูด้าอย่างจริงจัง ในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะอ่าวไทยรูปตัว ก ตั้งแต่ 2551-2556 มีการพบเห็นวาฬบรูด้า เป็นประจำในพื้นที่ดังกล่าว จนขณะนี้สามารถพูดได้เต็มที่แล้วว่า วาฬบรูด้า คือ สัตว์ประจำถิ่นของทะเลอ่าวไทยรูปตัว ก


    "เจ้าหน้าที่รายงานข้อมูลมาที่ผม น่าตื่นเต้นและน่าสนใจมาก พบว่าที่ผ่านมาเราพบวาฬบรูด้าสามารถบันทึกและตั้งชื่อวาฬทุกตัวได้แล้ว 40 ตัว เป็นวาฬเพศเมีย 8 ตัว ที่สำคัญคือ ตลอดปี 2556 นี้ แม่บรูด้าได้กำเนิดลูกบรูด้าตัวใหม่ ถึง 4 ตัวด้วยกัน คือ แม่ตองอ่อน ออกลูกมา เจ้าหน้าที่ตั้งชื่อว่า ใบตอง โดยพบเจ้าใบตองเมื่อวันที่ 8 กันยายน ส่วนแม่ข้าวเหนียว ที่ก่อนหน้านี้ มีลูกชื่อ เจ้าส้มตำ เมื่อส้มตำ ออกหากินเองได้ก็มีลูกตัวใหม่ทันที เจ้าหน้าที่พบเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ทางผมขอทางเจ้าหน้าที่ให้ตั้งชื่อว่า เจ้าเอกน้อย ซึ่งเป็นชื่อเล่นผมเอง นอกจากนี้ยังมี แม่พาฝัน มีลูกคือ เจ้าอิ่มเอม เจอเมื่อวันที่ 26 กันยายน และแม่สาคร มีลูกชื่อ เจ้าท่าฉลอม ยังไม่ใช่ชื่อที่เป็นทางการ ที่เจ้าหน้าที่ของ ทช.จะต้องบันทึกเอาไว้ โดยในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ผมตั้งใจว่าจะเดินทางไปอ่าวตัว ก เพื่อตามหาเจ้าท่าฉลอมด้วย" นายวิเชษฐ์กล่าว

    นายวิเชษฐ์กล่าวว่า มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ว่า เจ้าท่าฉลอมนั้น เป็นลูกวาฬบรูด้าที่แข็งแรงมาก มีพฤติกรรมที่วาฬบรูด้าตัวอื่นๆ ไม่ค่อยทำกัน นั่นคือ ชอบกระโดด ปกติแล้ววาฬบรูด้าที่อายุไม่ถึง 1 ปี จะไม่ค่อยกระโดด ให้ใครเห็น แต่มักจะมีชาวประมง และเจ้าหน้าที่ ทช.ที่นั่งเรือสำรวจพื้นที่เห็น ท่าฉลอมกระโดด เป็นประจำ

    "ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม มีคนเห็น และสามารถบันทึกภาพเจ้าท่าฉลอมกระโดดเหนือน้ำถึง 11 ครั้งติดต่อกันในเวลาไล่เลี่ยกัน และเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ก็มีคนเห็นอีกว่ามันกระโดดถึง 7 ครั้ง ติดต่อกันอีก ถือเป็นความน่ารัก และหาได้ยาก ในกรณีของลูกวาฬบรูด้ามาก ซึ่งการที่เราเห็นบรูด้าเป็นประจำ ในพื้นที่อ่าวไทยรูปตัว ก นี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของทะเลในบริเวณดังกล่าว จะต้องช่วยกันดูแลไม่ให้มีอะไรไปกระทบ แล้วทำให้วาฬเหล่านี้หนีไปอยู่ที่อื่น" นายวิเชษฐ์กล่าว

    นายเกษมสันต์กล่าวว่า ที่มีการลงความเห็นกันว่าวาฬบรูด้าเป็นสัตว์ประจำถิ่นของทะเลอ่าวไทยรูปตัว ก เพราะมีหลักฐานแสดงชัดเจนว่าตลอดพื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยที่มีวัดนั้น มักจะมีกระดูก หรือซาก ของสัตว์ชนิดนี้ถูกเก็บรักษาเอาไว้เกือบทุกที่

    "ตอนที่สำรวจใหม่ๆ เราก็ยังไม่ปักใจชัด คิดแค่ว่าเป็นสัตว์อพยพ ตามอาหารมาเท่านั้น แต่จากการบันทึก และบันทึกตำแหน่งจุดที่พบ เราก็พบหลายจุดในพื้นที่อ่าวไทย ตั้งแต่ทะเลชุมพร มาถึงทะเลฝั่งตะวันออก เจอมากที่สุดคือ อ่าวไทยตอนบน หรืออ่าวไทยรูปตัว ก ที่น่าสนใจคือ หลายครั้งเราเห็นพวกมันว่ายน้ำมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา คือบริเวณทะเลบางขุนเทียน ซึ่งเป็นทะเลเขตกรุงเทพฯ แล้ว แสดงว่าอาหารของพวกมันอยู่ที่นั่นด้วย และไม่มีใครไปรบกวนพวกมันด้วย เป็นเรื่องที่ดีมากๆ" นายเกษมสันต์กล่าว

    นายสุรศักดิ์ ทองสุกดี นักวิชาการประมง ชำนาญการ หัวหน้าทีมสำรวจโลมา และวาฬบรูด้า ทช.กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทช.สามารถตั้งชื่อและจำแนกลักษณะที่แตกต่างกันอย่างเป็นทางการทั้งหมด 40 ตัว แต่ความจริงแล้ว คิดว่าในพื้นที่อ่าวไทย น่าจะมีวาฬบรูด้ามากกว่านี้ มีคนถามว่า จำนวนเท่านี้ถือว่ามากหรือไม่ ตอบว่า ขึ้นอยู่กับพื้นที่ และวิธีการนับของแต่ประเทศ เพราะธรรมชาติของบรูด้าคือ หากินแบบเดี่ยวๆ ยกเว้น บรูด้าที่เป็นแม่ลูกที่จะออกหากินเป็นคู่ โดยแม่บรูด้าจะเลี้ยงลูกประมาณ 2 ปี ระหว่างเลี้ยงลูกก็สามารถตั้งท้องใหม่ได้ด้วย

    เมื่อถามว่า การที่ลูกวาฬบรูด้า อายุไม่ถึง 1 ปี กระโดดเหนือน้ำ ถือเป็นพฤติกรรมผิดปกติหรือไม่ นายสุรศักดิ์กล่าวว่า เท่าที่เก็บข้อมูลมา ก็ไม่ค่อยเจอพฤติกรรมแบบนี้ ในลูกบรูด้าตัวอื่นเลย ถือว่าเป็นลูกปลาที่ค่อนข้างแข็งแรง

    "แต่การกระโดดของลูกบรูด้าไม่เหมือนโลมากระโดด เพราะโลมาจะกระโดดเอาหน้าลง แต่บรูด้าจะกระโดดแล้วเหมือนกับการตีลังกาใส่เกลียวบิดตัวหงายท้องเอาหลังลง ลูกปลาที่กระโดดแบบนี้ได้ติดต่อกัน 11 ครั้ง ถือว่าแข็งแรงมาก เพราะบรูด้าตัวใหญ่กว่าโลมามาก แรกเกิดยาวประมาณ 4 เมตร หนักประมาณ 400 กิโลกรัม รูปที่เราถ่ายได้ ไม่ชัดนัก เพราะยอมรับว่า เห็นแล้วก็อึ้งเหมือนกัน ตั้งตัวไม่ติด" นายสุรศักดิ์กล่าว




    ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1381380106
  8. สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วินทร์ เลียววาริณ
    ชายผู้ระเบิดปรมาณูหล่นใส่หัวสองหน





    เช้าตรู่วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2488 ซึโตมุ ยามางูชิ (Tsutomu Yamaguchi) ผ่านยามเช้าที่สงบเงียบที่เมืองฮิโรชิมา จากรถรางที่กำลังแล่น เขาเห็นผู้คนที่ดำเนินชีวิตไปอย่างปกติ แม้จะเป็นยามสงคราม แต่ฮิโรชิมาดูห่างไกลจากความขัดแย้งทั้งปวงในโลก

    ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา ยามางูชิ ในวัยยี่สิบเก้าเดินทางมาทำงานชั่วคราวที่เมืองฮิโรชิมานานสามเดือน เขาเป็นวิศวกรของบริษัทอุตสาหกรรมหนักมิตซูบิชิ และบัดนี้ถึงกำหนดที่เขาจะเดินทางกลับบ้าน

    นาฬิกาข้อมือของเขาบ่งเวลา 08.15 น. เมื่อก้าวลงจากรถราง ประกายแวบของบางอย่างเจิดจรัสกว่าแสงสว่างใด ๆ ทั้งปวงที่เขาเคยเห็นในชีวิต ความร้อนแผดเผารอบร่างของเขาราวกับถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นหยิบเขาเหวี่ยงลงไปในกระทะร้อนแรงของนรก

    เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แก้วหูฉีกขาด นัยน์ตาบอดชั่วคราว ร่างกายท่อนบนซีกซ้ายถูกไฟเผา แต่ความเสียหายต่อร่างกายของเขายังน้อยกว่า 140,000 ชีวิตซึ่งสูญสิ้นไปพร้อมกับฮิโรชิมาที่ราบเป็นหน้ากลองในพริบตา ทิ้งอีกหลายหมื่นชีวิตทุกข์ทรมานด้วยพิษระเบิด เขารอดชีวิตมาได้เนื่องจากอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดลงสามกิโลเมตร

    ผ่านหนึ่งคืนที่ฮิโรชิมา วันถัดมายามางูชิก็ตัดสินเดินทางจากเมืองแห่งความตายกลับบ้านเกิดที่นางาซากิ เขาถึงบ้านในวันที่ 8 สิงหาคม และวิบากกรรมของเขายังไม่สิ้น สายวันรุ่งขึ้น ส่วนใหญ่ของเมืองนางาซากิก็ถูกลบออกจากผืนโลกพร้อมกับเจ็ดหมื่นชีวิต อีกครั้งยามางูชิอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดลงสามกิโลเมตร และอีกครั้ง เขารอดชีวิตมาได้

    ทว่า สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด คือการที่เขาสามารถเดินทางมาถึงหลักไมล์ชีวิตเลข 93 อย่างสวัสดิภาพ แม้จะผ่านชีวิตด้วยโรคมะเร็งร้ายที่มากับกัมมันตภาพรังสี หากชายผู้ระเบิดปรมาณูหล่นใส่หัวสองหนเดินทางจากนางาซากิลงมาทางใต้ 4,908 กิโลเมตร เขาจะพบแผ่นดินหนึ่งสัณฐานเช่นขวาน แผ่นดินนั้นผ่านวิกฤติ 'ระเบิดปรมาณู' มานับครั้งไม่ถ้วน

    ที่น่าแปลกประหลาดที่สุดก็คือ 'ระเบิดปรมาณู' ทั้งหมดที่หล่นใส่แผ่นดินนั้นเป็นระเบิดที่พวกเขาเป็นคนสร้างเองและจุดชนวนเอง ครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งแล้วครั้งเล่า

    บางครั้งความเสียหายคือชีวิตของชาวราษฎร์ บางครั้งแผ่นดินนั้นก็จ่ายราคาด้วยการสูญเสียเอกราช แม้ว่าผู้คนในแผ่นดินนั้นจะสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกทุกครั้ง แต่เห็นชัดว่าพวกเขาไม่เคยเรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์

    ในวัยแปดสิบกว่า ซึโตมุ ยามางูชิ เขียนหนังสือเล่าประสบการณ์เลวร้ายของสงครามนิวเคลียร์ และส่งสารไปยังชาวโลกให้ก้าวไปสู่โลกที่ไร้อาวุธปรมาณู ตลอดชีวิตที่เหลือ เขาเป็นผู้ที่ต่อต้านระเบิดปรมาณู เขากล่าวว่า "ผมไม่อาจเข้าใจว่าทำไมโลกไม่สามารถเข้าใจความหายนะของระเบิดปรมาณู ทำไมพวกเขายังพัฒนาอาวุธร้ายเหล่านี้อีกไม่หยุดยั้ง?"

    เป็นคำถามเดียวกับที่ราษฎรบางคนในแผ่นดินนั้นถามตัวเอง แต่ไม่เคยหาคำตอบพบ

    วินทร์ เลียววาริณ, 18 เมษายน 2552
    ข่าวหน้าหนึ่ง, www.winbookclub.com






    เครดิต : http://www.facebook.com/disabilityfarm?fref=ts
    http://www.baanmaha.com/community/
  9. สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    **อาหารเจ เสริมดวง 12 ราศี**


    อาหารเจ เสริมดวง ราศีเมษ ( 13 เม.ย. - 13 พ.ค. ) ท่านควรเลี่ยงอาหารเจที่มีรสหวาน เพราะดวงชะตานั้นมีรสหวานมากพอแล้ว

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีพฤษภ (14 พ.ค. - 13 มิ.ย. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับร่างกายท่านควรจะเป็นพวกข้าวโพด ถั่วเขียว งา

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีเมถุน ( 14 มิ.ย. - 14 ก.ค. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรจะเป็นผักสวนครัวต่างๆ และผักรสขม

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีกรกฎ (15 ก.ค. - 16 ส.ค. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรจะเป็นกล้วย เมล็ดดอกบัว มันสำปะหลัง

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีสิงห์ ( 17 ส.ค. - 16 ก.ย.) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรจะเป็นสมอต่างๆ ผักขม และมะระ

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีกันย์ ( 17 ก.ย. - 16 ต.ค. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน และหน่อไม้ต่างๆ

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีตุลย์ ( 17 ต.ค. - 15 พ.ย. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรเลี่ยงอาหารที่เป็นพวกหน่อไม้ทุกชนิด

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีพิจิก ( 16 พ.ย. - 15 ธ.ค. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรจะเป็นกล้วย เมล็ดดอกบัว มันสำปะหลัง

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีธนู ( 16 ธ.ค. - 15 ม.ค. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านคือต้องลดอาหารที่เป็นรสขมต่างๆ

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีมังกร (16 ม.ค. - 12 ก.พ. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรมาจากมะพร้าว มันสำปะหลัง ถั่วเขียว

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีกุมภ์ ( 13 ก.พ. - 13 มี.ค .) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรมาจากผักขมต่าง เช่น มะระ สมอต่างๆ

    อาหารเจ เสริมดวง อาหารเจ เสริมดวง ราศีมีน ( 14 มี.ค. - 12 เม.ย. ) อาหารเจที่เหมาะสมกับท่านควรเลี่ยงอาหารที่เป็นตระกูลหน่อไม้ ของมีรสเปรี้ยวต่างๆ




    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก:
    http://www.dek-d.com/board/view/1491694/
    http://www.weherb.net/wizContent.asp?wizConID=163&txtmMenu_ID=7
    http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9530000139412
    http://th.openrice.com/bangkok/restaurant/article/detail.htm?article_id=504
    http://www.shineon.in.th/กินเจ-และ-อาหารเจ/
  10. สัญลักษณ์ของ khonsurin
    ทรงพระเจริญ

    ขอบคุณค่ะ สำหรับภาพของพระองค์ท่านที่หาดูได้ยากมากเลยค่ะ
  11. สัญลักษณ์ของ lungyai1123


    ในหลวงของแผ่นดิน...

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่พัทลุง ในปี ๒๕๑๓ ซึ่งมีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในเวลานั้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นเสียก่อน

    พระองค์ทรงตรัสว่า...ราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้ แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะทำได้...

    ด้วยพระเมตตาคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ..
  12. สัญลักษณ์ของ khonsurin
    ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้มากๆๆ เลยนะคะ
  13. สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    ** เ ห็ บ ค น **

    เห็บ...

    เห็บอยู่กลุ่มเดียวกับพวกแมงมุม ตัวเต็มวัยมี 8 ขา ไม่มีปีก ตัวจะแบนจากบนลงล่าง (เหมือนเต่า) เห็บแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือเห็บแข็ง (hard tick) และเห็บอ่อน (soft tick) สำหรับเห็บอ่อนในประเทศไทยไม่สำคัญ เห็บแข็งเป็นเห็บทีสำคัญในประเทศไทยมีหลายชนิด (genus) และบางชนิดยังแบ่งออกเป็นหลายชนิดย่อย (species) เห็บแข็งมีวงชีวิตสรุปได้ย่อๆดังนี้ (ในที่นี้จะใช้ข้อมูลเห็บสุนัขจากที่ทดลองในประเทศไทย)

    เห็บตัวเมียจะผสมพันธุ์และดูดเลือดจนอิ่ม (รูปร่างขนาดเท่าเม็ดข้าวโพดหรือลูกหยี) ใช้เวลา 5-8 วัน จะต้องลงจากโฮสต์ (สัตว์ที่มันดูดเลือด) คลานหาที่สงบๆเพื่อพัก (อาจจะ 2-5 วัน) และออกไข่ (ตามธรรมชาติแล้วเห็บจะไม่ออกไข่ขณะที่อยู่บนโฮสต์หรือในตัวโฮสต์โดยเด็ดขาด) ระยะเวลาออกไข่ 6-14 วัน จำนวนไข่ อาจจะมากกว่า 2,000 ฟอง

    ไข่ฟักเป็นตัวอ่อนใช้เวลา 16-24 วัน ตัวอ่อนมี 6 ขา มีขนาดเล็ก เมื่อฟักออกจากไข่ มันจะอยู่นิ่งๆประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วจะขึ้นสู่ตัวสุนัข หรือสัตว์ชนิดอื่นๆเพื่อดูดเลือด ตัวอ่อนจะใช้เวลาดูดเลือด 2-5 วัน แล้วก็จะลงจากตัวสัตว์ เพื่อลงมาพักและลอกคราบ 5-10 วัน ก็จะได้เป็นตัวกลางวัย ซึ่งระยะนี้จะมี 8 ขา ตัวกลางวัยก็จะขึ้นสู่ตัวสัตว์เพื่อดูดเลือดเป็นครั้งที่ 2 จะดูดเลือดนาน 3-5 วัน ก็จะลงจากตัวสัตว์เพื่อพักและลอกคราบ ใช้เวลา 9-14 วันก็จะลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยเพศเมียและเพศผู้ และจะขึ้นสู่ตัวสุนัขเพื่อดูดเลือดอีกเป็นครั้งที่ 3 เห็บตัวผู้จะดูดเลือดเพียงเล็กน้อยในระยะเวลาสั้นๆ และมักจะผสมพันธุ์กับตัวเมียขณะที่ตัวเมียดูดเลือด เห็บตัวเมียจะใช้เวลาดูดเลือดนาน 5-8 วัน จะเป็นตัวเมียดูดเลือดอิ่มตัว และลงจากตัวสุนัขเพื่อวางไข่ต่อไป

    ตามรายงานมีเห็บไม่น้อยกว่า 5 ชนิด (genus) ไม่น้อยกว่า 15 ชนิดย่อย (species) ที่พบในคนไทย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเห็บของสัตว์ป่า คนเข้าป่าอาจจะไปพักค้างแรม เช่นกางเต็นท์ นอนกับพื้นหญ้า หรืออาจจะปูผ้ารองนอนก็ตาม เห็บจากสัตว์ป่าที่ อยู่ตามพื้นก็อาจจะขึ้นมาดูดเลือดคนด้วย

    คำถาม : ในประเทศไทย มีคนที่ชอบไปกางเต็นท์นอนในป่ากันมากเช่นที่เขาใหญ่ นักท่องเทียวควรทำอย่างไร

    คำตอบ : เวลานอนกับพื้นหญ้า ถึงแม้จะปูผ้าก็ตาม โดยทั่วไปแล้วผ้าที่ปูก็จะไม่ใหญ่มากนัก ส่วนหัวและเท้าของคนนอน ก็มักจะยาวเกือบสุดปลายผ้าที่ปู เวลานอน ลมหายใจของคนที่มี คาร์บอนไดอ็อกไซด์ จะดึงดูดเห็บเป็นอย่างดี เพราะเห็บขึ้นสู่ตัวสัตว์ได้ก็อาศัยคาร์บอนได้ออกไซด์ที่สัตว์ปล่อยออกมา และการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดคลื่นในอากาศ เมื่อคนนอนปล่อยลมหายใจออกมา ก็จะดึงดูดเห็บให้เข้ามาบริเวณใกล้จมูก โดยเห็บจะไต่ขึ้นศีรษะส่วนที่ติดพื้น ในการดูดเลือดเห็บจะหาที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง และหาส่วนเนื้อเยื่อทีจะดูดเลือดได้ง่าย ที่ที่เหมาะสมที่สุดก็คือภายในหู เพราะจะดูดเลือดง่ายและใบหูจะเป็นที่กำบังภัยสำหรับเห็บได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหลายคนทีไปแคมปิ้ง กลับมาก็จะได้เห็บมาเป็นของแถมด้วย บางคนก็มีไข้สูง ถึงต้องเข้าโรงพยาบาลก็มี







    ที่มา บางส่วนของบทความเรื่องเห็บกับคนในประเทศไทยโดย รศ.น.สพ.ดร. มานพ ม่วงใหญ่ หน่วยจุฬาฯ-ชนบท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย