สัตว์ทั้งหลายแม้พญาราชสีห์
หากติดบ่วงนายพราน
ก็ย่อมสิ้นกำลังและอำนาจ
ได้รับแต่ความทุกข์ทรมานฉันใด
คนทั้งหลายแม้มีฤทธิ์อำนาจมากเพียงใด
หากติดบ่วงสิเน่หา
ก็ย่อมสิ้นฤทธิ์หมดอำนาจ
มีจิตโศกเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานฉันนั้น
คำว่า โศก มาจากภาษาบาลีว่า โสกะ แปลว่า แห้ง
จิตโศก จึงหมายถึง สภาพจิตที่แห้งผาก เหมือนดินแห้ง ใบไม้แห้ง หมดความชุ่มชื่น เนื่องจากไม่สมหวังในความรัก ทำให้มีอาการเหี่ยวแห้ง หม่นไหม้ โหยหาขึ้นในใจ ใจซึมเซาไม่อยากรับรู้อารมณ์อื่นใด ไม่อยากทำการงาน
"เปมโต ชายเต โสโก"
ความโศกเกิดจากความรัก
(พุทธพจน์)
จะเป็นรักคน สัตว์ หรือสิ่งของก็ทำให้เกิดความโศกได้ทั้งนั้น แต่ที่หนักก็มักจะเป็นเองรักคน โดยเฉพาะความรักของชายหนุ่มหญิงสาว
ปกติใจของคนเราซนเหมือนลิง ชอบคิดโน่นคิดนี่ รับอารมณ์อย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวจะฟังเพลงเพราะ ๆ เดี๋ยวไม่เอาอีกแล้วกินขนมดีกว่า กินอิ่มแล้ว ไม่เอานอนดีกว่า เดี๋ยวเที่ยวดีกว่า เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่อยู่ในอารมณ์ใดนาน ๆ
แต่แปลก พอใจของเราไปเจออารมณ์รักเข้าเท่านั้นแหล่ะ มันไม่เปลี่ยน ติดหนับเลย เหมือนลิงติดตัง
พูดถึงลิงติดตัง บางท่านอาจจะไม่เข้าใจ ตังก็คือ ยางไม้ที่เขาเอาไปเคี่ยวจนเหนียวหนับ แล้วเอาไปป้ายตามต้นไม้ ตามที่ต่าง ๆ ไว้ดักนก ดักสัตว์ เวลาสัตว์มันมาเกาะติดเข้าจะดิ้นไม่หลุด
ลิงเวลามาเจอตังเข้า มันจะใช้ขาข้างหนึ่งแหย่ดูประสาซน พอติดหนับดึงไม่ขึ้น ก็จะใช้ขาอีกข้างจะมาช่วยกัน ขาข้างนั้นก็ติดตังหนับเข้าอีก จะใช้ขาอีก 2 ข้างมาช่วย ก็ติดตังหมดทั้ง 4 ขา ใช้ปากช่วยดัน ปากก็ติดตังอีก ตกลงทั้ง 4 ขา และปากติดตังแน่นอยู่อย่างนั้น ดิ้นไม่หลุด คอให้คนมาจับไป นี่แหล่ะคือลิงติดตัง
คนเราก็เหมือนกัน ลงได้รักละก็ หนุ่มรักสาว สาวรักหนุ่มก็ตาม ทีแรกก็บอกว่าจีบไปอย่างนั้นเอง พักเดียวถอนตัวไม่ออก ร้อง "ไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวบ่ลงกันกันเชียวล่ะ"
คำว่าเสน่ห์ ในภาษาไทยเราแปลว่า ความน่ารัก แต่คำคำนี้มาจากภาษาบาลีว่า สิเนหะ แปลว่า ยางเหนียว ตรงตัวเลย ถ้าใครมาบอกเราว่า แม่คนนั้นมีเสน่ห์แรงจัง ให้รู้ตัวไว้เลยว่าแม่นั่นนะยางเหนียวหนับเลย อย่าไปเข้าใกล้นะ เดี๋ยวติดยางเหนียวเข้าเป็นลิงติดตัง แล้วจะดิ้นไม่หลุด
ตอนรักเขายังไม่เท่าไร แต่ว่า รักเขาแล้วเขาไม่รักเราสิ หรือเมื่อความรักกลายเป็นอื่นเข้า หรือเขาตายจากเราไปก็ตาม ใจมันจะแห้งผากขึ้นมาทีเดียว แต่ก่อนเคยชอบรับอารมณ์อย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงตอนนี้ ใครจะมาร้องเพลงให้ฟังก็รำคาญไปหมด ข้าวยังไม่อยากจะกิน ใจมันแห้งผากซึมเซา รับอารมณ์ไม่ไหว คือ อาการที่เรียกว่า จิตโศก
บางคนอาจนึกว่าก็แล้วถ้าความรักสมหวัง ก็คงไม่เป็นไร จิตไม่โศกละสิ แต่ในความเป็นจริงนะมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนตกอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยงต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แตกดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ลงว่าใครได้รักอะไรเข้าละก็ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ ก็ให้เตรียมตัวเอาไว้ได้ ถ้ารักมากก็โศกมาก รักน้อยก็โศกน้อย รักหลาย ๆ อย่างก็โศกถี่หน่อยเป็นอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเตือนสติไว้ว่า
"ผู้ใดมีความรักถึง 100 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 100
ผู้ใดมีความรักถึง 90 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 90
ผู้ใดมีความรักถึง 80 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 80
ผู้ใดมีความรักถึง 40 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 40
ผู้ใดมีความรักถึง 20 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 20
ผู้ใดมีความรักถึง 10 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 10
ผู้ใดมีความรักถึง 5 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 5
ผู้ใดมีความรักถึง 4 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 4
ผู้ใดมีความรักถึง 3 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 3
ผู้ใดมีความรักถึง 2 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 2
ผู้ใดมีความรักถึง 1 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 1
ผู้ใดไม่มีสิ่งอันเป็นที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์ เรากล่าวว่าผู้นั้น ไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส คือ ความตรอมใจ ความกลุ้มใจ"
โบราณท่านสรุปเป็นข้อเตือนใจไว้ว่า
"มากรักก็มากน้ำตา หมดรักก็หมดน้ำตา
มากรักก็มากทุกข์ หมดรักก็หมดทุกข์"
Bookmarks