อีสาน...ชุบชีวิต
“ฟ้อนกลองตุ้ม – เรือมอันเร”
เสน่ห์ศิลปะแสดงพื้นบ้าน
ฟ้อนกลองตุ้มและเรือมอันเร ศิลปะการแสดงพื้นบ้านดั้งเดิมของคนอีสาน ที่คนภาคอื่นอาจไม่รู้จักดีเท่ากับการแสดงหมอลำ แต่มาบัดนี้ มรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ของการแสดงพื้นบ้านดังกล่าวได้มีการหยิบยกขึ้นมาแสดงบนหน้าม่าน เพื่อให้คนทั่วไปได้รู้จักมากขึ้น
เด็กหนุ่มคณะศรีลำดวนจากวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมาปรากฏกายขึ้นในชุด นุ่งโสร่ง สวมเสื้อย้อมคราม ใช้ผ้าขิดพาดเฉียงไหล่บ่าสองข้าง โพกศีรษะและมัดเอว คอคล้องสร้อยโลหะ ลูกกะดิ่งร้อยพรวนรอบเอว และนิ้วมือทั้งสิบนิ้วสวมส่วยมือฟ้อน และใบหน้าใส่แว่นตาดำ
ในทันทีที่เสียงดนตรีบรรเลงด้วยกลองตุ้มกระทบโสตประสาท สองมือสิบนิ้วกางฟ้อนรำและสองเท้าขยับเข้าเป็นจังหวะในรูปเรียงแถวหน้ากระดาน ด้วยท่วงท่าที่แข็งแต่สง่างาม นี่คือฉากหนึ่ง ฟ้อนกลองตุ้ม ที่สืบทอดกันมาแต่เก่าแก่ใช้ในพิธีกรรมขอฝนของชาวอีสาน
มิเพียงเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันในคณะนี้ ยังมีนักแสดงชายหญิงผสมผู้ใหญ่กว่าอีกสิบคณะจากร้อยเอ็ด อุบลราชธานี เข้าร่วมประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน ประจำปี 2555 ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สนับสนุนโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาเขตขามเรียง เมื่อปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งภายหลังคณะกรรมการฯ ได้ประกาศให้เด็กหนุ่มคณะศรีลำดวนชนะเลิศการประกวดฟ้อนกลองตุ้ม
ความโดดเด่นของคณะนี้ น่าจะอยู่ตรงที่การแสดงเป็นผู้ชายล้วนๆ “เราต้องการสื่อให้เห็นท่วงท่าฟ้อนของนิ้วมือมีลักษณะแข็งทื่อมากกว่าผู้ชายจีบนิ้วอ่อนช้อยแบบโขนละคร” กฤษฎา ผึ้งสังวร หนุ่มวัย 23 ตัวแทนคณะให้สัมภาษณ์ระหว่างซ้อมก่อนขึ้นเวทีแสดง
สอดรับกับในทรรศนะปราชญ์ฟ้อนกลองตุ้ม วิบูลย์ บุญละวงษ์ วัย 65 ชาวอุบลฯ “รูปแบบฟ้อนนี้ดั้งเดิมเป็นผู้ชาย แต่ตอนหลังมีผู้หญิงเข้ามาร่วมฟ้อน เพราะเห็นว่าการฟ้อนน่าจะมีความอ่อนช้อยแทรกอยู่บ้าง” และกล่าวถึงการฟ้อนชนิดนี้ มีบทคำเจิงหรือเซิ้ง
กลองตุ้มใช้ตีกันมาแต่บรรพบุรุษ ทั้งแทรกอยู่ในวิถีชีวิตจารีต ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ของชาวอีสาน อันเกี่ยวเนื่องกับประเพณีบุญบั้งไฟ ขอน้ำฟ้าน้ำฝนจากพญาแถนให้ตกลงมาสร้างความอุดมสมบูรณ์โลกมนุษย์
ขณะเดียวกันบนหน้าม่านการประกวด ยังมีมรดกวัฒนธรรมการแสดงศิลปะฟ้อนรำดั้งเดิมอีกแขนงหนึ่ง คือ เรือมอันเร ชวนให้สะกดสายตาผู้ชมให้อยู่กับเสียงกระทบไม้ นักแสดงฟ้อนรำหรือการแสดงท่วงท่าลีลาให้เข้าจังหวะ คล้ายกับการแสดงลาวกระทบไม้ ทำนองนั้น
เรือม แปลว่า “รำ” อันเร แปลว่า “สาก” (ยาว 2-3 เมตร ตีคู่กัน มีหมอนวางรองหัว-ท้ายสาก เพื่อยกให้สูงจากพื้นเวลาตี) เมื่อรวมความ เรือมอันเร คือการ รำสาก นั่นเอง เป็นการฟ้อนรำของวัฒนธรรมเขมร ถ่ายเทกันไปมาทางถิ่นอีสานใต้ของไทย
“เพียงแต่ตอนหลังของพื้นที่ทางวัฒนธรรมถูกแบ่งด้วยเส้นเขตแดนประเทศ และการแสดงนี้นิยมเล่นในงานมหรสพบันเทิง พบเห็นได้ตามลานหมู่บ้านและลานวัดซึ่งส่วนใหญ่ในเขตสุรินทร์และบุรีรัมย์” รศ.ดร. ปิยพันธ์ แสนทวีสุข กรรมการประกวดฯ กล่าวสังเขป
เสน่ห์ของศิลปะการแสดงเรือมอันเร หรือรำสาก ว่ากัน ในสมัยก่อนไม่มีท่ารำแบบแผนแน่นอนนัก เพราะเป็นการรำเพื่อความสนุกสนานในยามพักผ่อน ส่วนมากผู้หญิงเป็นฝ่ายรำสาก ส่วนหนุ่มๆ ถ้าชอบใจสาวรำสากก็จะขอเข้าไปร่วมรำสากด้วย
แต่สำหรับในเวทีการแสดง ผู้ชายมักจะเป็นฝ่ายออกท่าทางลีลาให้เข้าจังหวะเสียงกระทบไม้ บางรายมีศิลปะลีลาแพรวพราว เรียกเสียงปรบมือผู้ชมตอนท้ายรายการ
นอกเหนือจากศิลปะท่ารำสากแล้ว บรรดานักแสดงร่วมสมัยทุกเพศวัยทั้งสิบคณะเข้าประชันขันแข่ง อยู่ในชุดแต่งกาย ชายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลม ผ้าขาวม้าคาดเอวและพาดไหล่ ผู้หญิงนุ่งผ้าไหมพื้นเมือง (เรียกว่า “ซัมป็วตโฮส”) สวมเสื้อแขนกระบอก สไบพาดไหล่มัดรวมไว้ด้านข้าง คอสวมเครื่องประดับเงิน และดอกไม้ทัดผม
ขึ้นเวทีอวดฟ้อนรำสาก ตามเสียงกระทบไม้แล้วยังมีเครื่องดนตรีพื้นบ้าน กลองโทน เลาซออู้ ปี่ใน คัน ฉิ่ง กราบ บรรเลงควบคู่ไปกับบททำนองไหว้ครูและท่ารำ (ภาษาเขมร) ของผู้ขับร้อง
“ศิลปะการแสดงพื้นบ้านยังคงไม่หายไปไหน ถ้ายังได้รับความนิยมอยู่ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น เราก็จะไปดึงการแสดงดั้งเดิมหรือเก่าๆ ขึ้นมา เหมือนอย่างที่คณะทำงานจัดการแสดงประกวด ซึ่งทางหนึ่งเป็นการกระตุ้นในรูปแบบการสืบทอดนั่นเอง” ปิยพันธ์ กรรมการฯ ชี้ให้เห็น
ทุกวันนี้ ยังมีมรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ทางดนตรี และการแสดงพื้นบ้านอีกจำนวนมาก เข้าคิวรอเปิดตัวให้สาธารณชนรับรู้
ขอบคุณ
สยามรัฐออนไลน์
ภูมิบ้านภูมิเมือง
คุณชมวง พฤกษาถิ่น
Bookmarks