ผมรู้สึกติดใจกับการวิ่งมินิมาราธอน เพราะบรรยากาศมันดูคึกคักดี มีคนหลายกลุ่มหลายอายุที่ไปร่วมงาน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งหญิงและชาย โดยเฉพาะตัวเด่น ๆ ที่ไปล่ารางวัล กลุ่มนี้จะวิ่งได้เร็วมาก และทำเวลาได้ดี เขาจะสำรวจดูว่ามีใครลงวิ่งบ้างในแต่ละงาน หากสู้ไม่ได้เขาก็จะไม่ลงวิ่ง แต่สำหรับผมวิ่งทุกงาน เพราะไม่ได้คำนึงถึงการแข่งขัน วิ่งเพื่อความเพลิดเพลิน เพื่อความสนุกสนาน และได้กุศล
งานวิ่งครั้งแรกของผม หลังจากเข้าเส้นชัยแล้ว มีการจับรางวัล ผมได้รองเท้าวิ่ง "ไนกี้" 1 คู่ แต่คู่เล็กไปหน่อย วิ่งแต่ละครั้งนิ้วก้อยพองทุกครั้ง ก็เลยให้คนอื่นไปใช้
ผมวิ่งอยู่หลายงาน เพราะแผนกกีฬาที่ทำงานก็สนับสนุนเงินทุนมา งานใหญ่ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจคือ "กรุงเทพฯ มาราธอน" แต่ผมก็ยังอยู่ในกลุ่มมินิมาราธอนเหมือนเดิม เพราะหากวิ่งฮาฟมาราธอน หรือมาราธอน ก็คงจะไม่ไหวแน่ วิ่งได้แต่บาดเจ็บ
ผมเห็นหลาย ๆ คน เข้าเส้นชัยแล้วยางแตก ได้หามได้พยุง คำถามที่อยู่ในใจของผมคือ "นี่คือการวิ่งเพื่อสุขภาพ หรือทำลายสุขภาพกันแน่"
ก่อนการวิ่งทุกครั้ง ผมมักได้ยินคำสนทนาของผู้คน "ผมไม่ได้ซ้อมเลย งานยุ่งเหลือเกิน เมื่อคืนก็ไปงานเลี้ยงมา" ...เอ๊ะ ....แล้วมาวิ่งทำไม (วะ)
ผมเข้าร่วมวิ่ง "กรุงเทพฯ มาราธอน" 2 ครั้ง มีอยู่ปีหนึ่งทำเวลาได้ดีมาก ๆ เพราะฝนตก วิ่งตากฝนมินิมาราธอน สนุกไปอีกแบบ :l-
จากวิ่งบนดิน เข้าสู่วิ่งลอยฟ้า คือวิ่งบนทางด่วน และวิ่งสู่ปลายฟ้า คือวิ่งขึ้นตึกใบหยก และวิ่งขึ้นตึกธนาคารทหารไทยสำนักงานใหญ่ เริ่มด้วยการวิ่งรอบลานจอดรถตัดกำลังซะก่อน แล้วค่อยวิ่งขึ้นบันได ไม่ไหวก็รูดราวบันไดขึ้น จนถึงเส้นชัย
ผลคือเหนื่อยกว่าวิ่งพื้นธรรมดาแน่นอน ไปถึงเส้นชัย น้อยคนนักที่จะยืน ส่วนมากจะนั่ง และนอน เพราะขาล้าไปหมด สั่นผับ ๆ ๆ ๆ
หลังจากการวิ่งขึ้นบันไดตึก ผมมีความรู้สึกว่า หัวเข่าของผมเริ่มมีปัญหา ไม่ใช่เพราะผมคุกเข่ามาก แต่เป็นเพราะสาเหตุนั้นจริง ๆ ทำให้ผมแขวนนวมจากการเป็นนักมวย ....โอ๊ะ...นักวิ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หันมาวิ่งออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามเวลาอำนวยครับ
"สุขภาพดี ไม่มีขาย ใครอยากได้ต้องลงมือทำครับ"
Bookmarks