" ทำอย่างไรจะอยู่ด้วยกันตลอดไป? "( ดังตฤณ )

ทำอย่างไรจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

ทำอย่างไรจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

คำว่า ‘ตลอดไป’ ในที่นี้ ขึ้นอยู่กับรากฐานความเชื่อของคุณด้วยครับ ถ้าคุณ เชื่อว่ามีแค่ชาตินี้ชาติเดียว คำว่าตลอดไปก็หมายถึง ‘ความพอใจ’ จะอยู่กับ คนรักจนกว่าจะตายจาก

แต่ถ้าคุณเชื่อว่ามีชาติหน้ารออยู่ คำว่าตลอดไป ก็หมายถึง ‘ความแน่นอน’ ที่จะได้พบกับคนรักอีกในชาติหน้า ถามว่าทำอย่างไรภาวะคู่จึงเสถียร?

คำตอบนั้นแน่นอนว่าไม่ได้อยู่ที่กาย เพราะกายเป็นแค่กระบวนการทางชีวเคมีที่ไว้ใจไม่ได้ดึงดูดเร็วและผละออกไว เสมอ สิ่งเดียวที่เหลือให้เป็นคำตอบได้คือ ‘ใจ’ เท่านั้น เพราะใจเป็นสิ่งที่เชื่อได้ว่าจะมั่นคง ถ้ามีปัจจัยเพียงพอ เพื่อให้เห็นภาพชัด ต่อไปนี้ผมขอเปรียบเทียบว่าใจของคุณกับคนรักกำลังอยู่ ใน ‘รถยนต์’ คันหนึ่งซึ่งแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆ การจะไปด้วยกันได้ตลอดสายนั้น ใจของคุณทั้งสองต้องมีพื้นฐานของความสามารถร่วมทางกัน ไม่อยากแยกทางกัน ใจที่สามารถเดินทางไปด้วยกัน มีคุณสมบัติใหญ่ๆ ๔ ประการดังนี้ครับ



๑) มุ่งไปในทางเดียวกัน

ข้อนี้หมายถึงใจที่มีจุดหมายปลายทางร่วมกัน อย่างแน่ชัด ถ้าใจคุณจะขึ้น เชียงราย แต่ใจคนรักจะลงภูเก็ต ก็ต้องมีใครสักคนขึ้นรถผิด หรือไม่ก็ผิดทั้งคู่ที่มา ขึ้นรถคันเดียวกัน ใจที่มุ่งทางเดียวกัน ก็คือการมีศรัทธาแบบเดียวกัน อย่างน้อยถ้าคุณและคน รักนับถือความรัก ราวกับความรักเป็นศาสนาหนึ่ง ศาสนาของพวกคุณก็ต้องยึดหลัก เดียวกัน เช่น จะรักเดียวใจเดียวไปจนกว่าจะหาไม่ ชาติหน้ามีจริงก็จะจองรัก จอง ฤกษ์เกิดร่วมชาติอย่างนี้อีก เป็นต้น นอกจากนั้น คุณและคนรักจะศรัทธาศาสนาใดคงไม่สำคัญเท่าที่ว่า ต้องเป็น ศรัทธาแบบเดียวกัน จึงจะพาใจให้แล่นไปบนทางเดียวกัน มิฉะนั้นก็จะต้องถึงจุดตัด ทางแยกเข้าจนได้

สิ่งเดียวที่คุณอยากอยู่ด้วยตลอดไปคือตัวเอง ฉะนั้น ถ้าได้คนรักที่เสมอกับตัวเอง คุณก็จะอยากอยู่กับคนรักตลอดไปเช่นกัน

เรื่องของศรัทธา เรื่องของศาสนานั้น รบไปมีแต่เสีย คือมีแต่คนตายไม่มีคน เกิด หาก ต่างฝ่ายต่างปักใจยึดมั่นความเชื่อไปคนละทิศ ชนิดที่จิตวิญญาณ ฝังรากลงในศาสนาหนึ่งๆมั่นคงแล้ว ก็อย่าพยายามเสียเวลาเปลี่ยนแปลงคน รักให้มาเชื่อแบบตน เพราะมีแต่ความแตกแยกรออยู่

อย่างเช่นคนหนึ่งนับถือศาสนาที่สอนให้กล้า คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และ กล้าที่จะฝึกจิตให้รู้ตามจริง ส่วนอีกคนหนึ่งนับถือศาสนาที่สอนให้กล้าเชื่อ กล้า ไว้ใจ ตลอดจนห้ามค้านสิ่งที่พระคัมภีร์บอก ก็จะขัดแย้งกันอย่างสุดขั้วโดยรากของ ความคิด เมื่อเริ่มคบกันยังหวานอยู่อาจมองไม่เห็น ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันนานเข้า หลักการต่างๆของศาสนาจะเริ่มมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ


ตัวอย่าง ที่เห็นชัดคือการยินยอมให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมกับศาสนาใด เป็นต้น คนสมัยนี้ไม่ค่อยจริงจังกับศาสนาเต็มร้อย เพราะเข้ามาถึงศรัทธาแบบเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ซึ่งก็มีข้อดีคือยังพอคุยกันรู้เรื่อง ไม่ต่างฝ่ายต่างสุดโต่งเถียงคอเป็นเอ็น ครับ เมื่อไม่ยึดมั่นว่าต้องเอาวิถีชีวิตในชาตินี้และชาติหน้าตามศาสนา ‘ของกู’ ให้ได้ ก็ย่อมคุยด้วยเหตุด้วยผลเหมือนคนปกติ หากใครประพฤติตนน่าเลื่อมใสกว่า หรือโน้มน้าวใจเก่งกว่า ก็มีสิทธิ์เอาคนรักมาร่วมพุ่งสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันได้

ศรัทธาตามความหมายของพระพุทธศาสนาคือความ เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม เชื่อ ในกรรมที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ และไม่ใช่ปักใจยอมรับเพียงเพราะใครต่อใคร รอบข้างบีบให้ยอมรับ ศรัทธาที่ดีคือศรัทธาที่ไม่เอาแต่คิดตามคนอื่น แต่ต้องทำจริงด้วยตนเองจน เห็นแจ้งถ่องแท้ และมั่นใจในเส้นทางที่คุณเดินมากพอ ดุจการขับรถไปตามแผนที่ เมื่อผ่านเส้นทางแล้วพบว่าแผนที่ถูกต้องมาเรื่อยแต่ต้น ก็ย่อมเชื่อว่าแผนที่จะพา ตัดตรงสู่เป้าหมายอันถูกต้องด้วยเช่นกัน

พุทธศาสนาไม่นิยมปาฏิหาริย์แห่งศรัทธาและ การร้องขอ เพราะการร้องขอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เห็นตัวตนนั้น ถ้าได้ตามต้องการทันใจก็ดีไป แต่ถ้าไม่มาตามคำขอ ก็อาจดับไฟศรัทธาให้มอดลงในชั่วข้ามคืน พุทธศาสนาแสดงความจริงตามเหตุตามผล กรรมเป็นพร กรรมเป็นคำสาป ใครทำอะไรก็ได้สิ่งที่สอดคล้องกันอย่างนั้น กรรมขาวย่อมบันดาลชีวิตสว่าง เป็นสุข กรรมดำย่อมบันดาลชีวิตมืด เป็นทุกข์ และพุทธศาสนาก็ช่วยให้เข้าใจว่าบนเส้นทางแห่งศรัทธาเดียวกัน พวกคุณ จะผลัดกันขับหรือผลัดกันนั่งข้างก็ไม่เป็นไร ในเมื่อตกลงกันแล้วว่าจะร่วมทางสู่ จุดหมายเดียวกัน อย่างไรก็ได้นั่งคู่กันเคียงบ่าเคียงไหล่ รถจะแล่นเร็วหรือช้า พวกคุณก็ไปในทิศเดียวกัน ไม่เร็วและไม่ช้าไปกว่ากันอยู่ดี


๒) มีความสะอาดเสมอกัน

ข้อนี้หมายถึงใจที่มีความ ‘รักสะอาด’ เหมือนๆกัน ถ้าคนรักของคุณชอบทำ ความสะอาดรถให้น่านั่ง ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะติดเชื้อโรคให้เดือดเนื้อ ร้อนใจ แต่คุณดันชอบถ่มเสลดลงพื้น แคะขี้มูกดีดใส่กระจกเป็นประจำ แบบนี้คนรัก คงโบกมือลา ไม่อยากอาศัยรถคันเดียวกับคุณในการเดินทางอีกต่อไป

ใจที่รักสะอาดเหมือนกัน ก็คือการมีศีลมีธรรมระดับเดียวกัน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งศีลในข้อที่ว่าด้วยการประพฤติผิดทางกาม หากคุณกับคนรักทำบุญเก่ามาด้วยกันดี มีวาสนาได้พบรักแท้ ก็นับว่าเหมาะ ครับ เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญให้คิดซื่อกับคู่ครองของตนอยู่แล้วโดยพื้นฐาน เรียก ว่าได้รักษาศีลข้อกาเมฯอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมีใจจริงคอยช่วยค้ำจุนอยู่ก่อน


แต่ให้ดีกว่านั้นคือควรตั้งใจงดเว้นขาด ต่อให้มีใครเอาเนื้อหนังมายั่วใจ ต่อให้ ใครเอาผลประโยชน์มาล่อ ก็คิดไว้ล่วงหน้าเลยว่า ‘ไม่!’ การตั้งใจงดเว้นขาดนั่นแหละเรียกว่าการถือศีล ถ้ายังยักแย่ยักยันว่าเอาดีหรือ ไม่เอาดี นั่นไม่เรียกว่าเป็นคนถือศีล คุณแค่ได้ชื่อว่ายังมีมโนธรรมสู้กับกิเลสฝ่ายต่ำ อยู่บ้างเท่านั้น การถือศีลเพียงข้อเดียวก็อาจมีพลังลากจูงศีลข้ออื่นๆให้ตามมา ด้วยความ เห็นตามจริงว่ารักษาศีลได้แค่ไหน ศีลก็รักษาเราให้อยู่สบายไม่เดือดร้อนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมดาของผู้ตั้งใจรักษาศีล ๕ ด้วยกันนั้น ย่อมไว้ใจกัน และอบอุ่นใจว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่เป็นภัยต่อกัน ลองดูก็ได้ ถ้าคุณเป็นคู่ที่ระแวงกันและกันนะครับ ลองมาตั้งสัตย์อธิษฐาน ต่อหน้าพระปฏิมา ว่าวันนี้จะรักษาศีล ๕ ให้ได้ โดยเปล่งเสียงออกมาให้เต็มปาก เต็มคำว่า

พวกเราจะไม่ฆ่าสัตว์ไหนๆ
พวกเราจะไม่ลักทรัพย์ใคร
พวกเราจะไม่นอกใจกัน
พวกเราจะไม่โกหกกัน
พวกเราจะไม่กินเหล้าเมายา

วันเดียวคงต้องทำได้แน่ วันต่อมาก็เอาอีก ตั้งปณิธานทีละวัน ก่อนสวดมนต์ ทุกครั้ง และทุกๆครั้งให้ดูกันจะจะเลย ว่าเกิดผลเป็นความเชื่อมั่นในกันและกันเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆไหม คุณจะพบว่าการตั้งจิตงดเว้นพฤติกรรมผิดๆ ก็คือการสร้าง ความสบายใจขั้นพื้นฐานให้ชีวิตคู่นั่นเอง อย่าใช้วิธีสาบาน อย่าตั้งเป้าสาปแช่งไว้ว่าถ้าทำไม่ได้ขอให้ตายไม่ดี เพราะ นั่นจะเป็น ‘สัญญาเลือด’ ที่เขียนขึ้นด้วยจิตอันเจือด้วยโทสะ อาศัยความกลัวเป็นตัว ขู่ จึงย่อมมีความไม่สบายใจระหว่างกันอยู่ไม่มากก็น้อย


ทางที่เหมาะคือให้อธิษฐานเป็นคำสัตย์ด้วย จิตที่แน่วนิ่งมั่นคง มีความเป็น กุศล มีความเมตตา ยังผลให้รู้สึกเป็นมงคล และเกิดกำลังใจในทางที่สว่าง ทางที่ ดีขึ้นร่วมกัน นั่นจะบริสุทธิ์มั่นคงกว่าวิธีใช้คำสาบานเป็นไหนๆ โลกเต็มไปด้วยเครื่องล่อให้ผิดศีล อย่ากลัวไม่ได้เจอแบบทดสอบ และแต่ละ ครั้งที่สอบผ่าน คุณก็จะรู้สึกว่าการรักษาศีลไม่เห็นจะยากอะไร ทำไปๆก็เกิดอำนาจ ความเคยชินที่จะปฏิเสธความอยากผิดศีล คือตอนแรกปฏิเสธด้วยความคิด ต่อมา ปฏิเสธเองออกมาจากใจ สำคัญคือหากผ่านด่านได้ตลอด เหล่าแบบทดสอบจะ ค่อยๆถอยทัพทีละน้อย กระทั่งเหมือนหายไปเลย นานทีปีหนถึงจะโผล่มาทดสอบ ใหม่

ศีลที่สะอาดหมดจดจะบันดาลหน้าตาที่หมดจดสด ใส ยังไม่ตายก็เห็นได้ ทันตา แต่เมื่อเกิดใหม่จะเห็นชัดขึ้น พวกคุณจะดูคล้ายคลึงกัน กับทั้งฉายรัศมีสมน้ำ สมเนื้อกัน เห็นกันและกันแล้วต่างตะลึงแลวางตาไม่ลง กับทั้งรู้สึกว่าความสวยหล่อ ดุจกิ่งทองใบหยก มีไว้เป็นอภิสิทธิ์ให้กันและกันชื่นชมเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์! พอศีลสะอาด ใจจะถึงใจมากขึ้น ลองคิดง่ายๆนะครับ ถ้าตัวอยู่ห่างแล้วยัง รู้สึกอบอุ่นและไว้ใจกัน ก็แน่ใจได้ว่าพวกคุณรักกันด้วยใจ ไม่ใช่หลงติดกัน ด้วยกาย เห็นหรือยังว่าศีลมีส่วนสร้างรักให้เป็นของแท้ได้อย่างไร?


๓) เปี่ยมน้ำใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ข้อนี้หมายถึงใจที่รู้จักเสียสละ ถ้าคุณขับรถจนเหนื่อยอยากพัก นึกอยากหลับ บ้างหรืออย่างน้อยอยากได้ผ้าเย็นลูบหน้าบ้าง แต่คนรักปฏิเสธท่าเดียวไม่ช่วยเหลือ ใดๆทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลสั้นๆคือ ‘ขี้เกียจ!’ อย่างนี้คุณคงถอดใจ และรู้สึกว่าเดินทาง มากับพวกชอบเอาเปรียบอย่างน่าเกลียด ผู้ที่อยู่ร่วมกันโดยต่างฝ่ายต่างมีน้ำใจมาก ย่อมไม่มีวันหิวกระหายเลยตลอด เส้นทาง ส่วนการเดินทางไปกับผู้มีความตระหนี่ถี่เหนียวไร้น้ำใจ ย่อมทำให้คุณรู้สึก ฝืดคอ เหมือนรอบตัวแห้งแล้งน่าหน่ายหนีเสียเหลือเกิน


เมื่อมีน้ำใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เป็นที่พึ่งให้แก่กันและกันได้ กระทั่งอาจ กระตือรือร้นมากพอจะแผ่เผื่อเจือจานไปถึงสังคมรอบข้าง ถึงตรงนั้นพวกคุณจะเริ่ม เป็นสองแรงแข็งขัน ร่วมกันช่วยคนอื่นได้ดุจเดียวกับงานอดิเรกที่น่ารื่นเริง ความ รื่นเริงที่จะช่วยสังคมร่วมกันนั่นแหละ คือที่มาของการอยู่ร่วมกันกด้วยความ หฤหรรษ์สุดยอด การร่วมมือกันช่วยคนแปลกหน้านี่นะครับ จะบอกได้ระดับหนึ่งว่ามีลูกแล้ว พวกคุณจะมีแก่ใจช่วยกันเลี้ยงแค่ไหน ใครจะเป็นคนออกแรงมากกว่ากัน! ไม่ว่าตายแล้วเกิดชาติไหนภพใด คุณจะไม่พบใครที่อยู่ด้วยแล้วบันเทิงเท่า

คนรักที่เคยมีน้ำใจต่อสังคมเสมอกันเลย ความคิดยกให้ ความคิดบริจาค และความคิดช่วยเหลือ เรารวมเรียกว่า ‘จาคะ’ จาคะจึงหมายถึงการสละออก นับตั้งแต่การแบ่งปันสิ่งของ ช่วยออกแรงช่วยงานกับ ผู้สมควรได้รับการช่วยเหลือ นอกจากนั้น จาคะยังเหมารวมไปถึงการสละสิ่งที่เป็นโทษทิ้งไป เพื่อเอาสิ่ง ใหม่ที่เป็นประโยชน์เข้ามาแทน ดังเช่นการให้อภัยเป็นทาน ที่ยกความแค้นออกไป เพื่อเอาไมตรีคืนมา

โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าถือสา ถ้าคุณวางเสียได้ ไม่ถือสา ก็จะ ไม่เป็นคนขี้หงุดหงิด กระแสจิตของคุณจะเย็น และถ้าพวกคุณเย็นด้วยกันทั้งคู่ ต่อให้ต้องวิ่งผ่านทะเลทรายก็จะเย็นฉ่ำอยู่ข้างใน ประดุจเป็นแอร์ให้แก่กันและกัน ตลอดเส้นทางไกล ไม่ต้องแวะซ่อมที่ไหน จาคะคือสิ่งเปิดจิตให้กว้างขวาง อย่างที่เรียกกันว่า ‘ใจกว้าง’ ยิ่งมีจาคะมาก เท่าใด ใจยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น

ทีนี้ก็ดูว่าระหว่างคุณกับคนรักใจกว้างพอๆกันหรือ ไล่เลี่ยกันไหม สังเกตเถิดว่าคนใจแคบจะไปด้วยกันกับคนใจกว้างไม่ได้ ถึง แม้จับพลัดจับผลูต้องทนอยู่ร่วมกัน ก็จะไม่มีความสุขเลย ภพที่คนใจแคบกับคนใจกว้างไปเสวยก็ผิดกันลิบลับนะครับ คนใจกว้างย่อม เหมาะกับพื้นที่กว้างขวาง สุขสบายไม่อึดอัด ขณะที่คนใจแคบย่อมเหมาะกับพื้นที่ คับแคบ ทุกข์ทนไม่มีดี ถ้าคนหนึ่งตายอย่างคนใจกว้าง อีกคนตายอย่างคนใจแคบ แนวโน้มคือสองคนนั้นจะไม่ได้เจอกันในชาติต่อไป หรือแม้ต้องเจอกันอีกในชาติ ถัดๆไป ก็ยากที่จะมาอยู่ร่วมกันโดยง่าย เพราะใจสอดคล้องกับลักษณะภพที่ต่างกัน เกินไป


๔) คิดอ่านได้ไม่น้อยหน้ากัน


ข้อนี้หมายถึงใจที่ ‘เข้าถึงคำตอบ’ หรือ ‘เห็นทางออก’ ได้ทันๆกัน หรือช่วย เป็นกำลังทางความคิดเสริมกันและกัน เหมือนถ้าขับรถหลงทาง คุณคงไม่อยากคิด แก้สถานการณ์อยู่คนเดียว แต่จะอยากได้เพื่อนคู่คิด ต่างฝ่ายต่างออกความเห็นได้ ว่าควรทำเช่นไรดี หรืออย่างน้อยก็น่าจะรู้จักเงียบในเวลาที่ควรเงียบ ไม่แสดงความ โง่เขลาทำนองมือไม่พายเอาเท้าราน้ำให้คุณนึกรำคาญใจ

ปัญญาเชิงพุทธจะออกไปในทางคิดเป็น เห็นตามจริง แสวงหาเหตุผลต้น ปลาย ถ้ากำลังหลงทางต้องรู้ทันว่าหลงทางและเร่งหาทางออก ไม่ใช่หลงทางแล้ว ยังเพลินเที่ยวไถล ยิ่งไกลจากจุดหมายไปทุกที ระบบความคิดที่ถูกฝึกมาให้แก้ปัญหาร่วมกัน จะทำให้ปัญญาของพวกคุณ เขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้นทุกทีตามวันเวลาที่ผ่านไป อย่างน้อยก็ในแง่ความสามารถ ในการเห็นทางออกของปัญหา จะไม่แตกเป็นคนละทางสองทาง

ส่วนในทางธรรมนั้น ปัญญาจะมุ่งเอาความสามารถในการเห็นว่าสิ่งใดเป็น ประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ บางคนมีนะครับ แสนฉลาดทางโลก เรียนเก่งขั้นเกียรติ- นิยม แต่ทั้งชีวิตดำเนินไปในแบบโยนประโยชน์ทิ้งน้ำ มัวแต่ไปเก็บเกี่ยวโทษเข้าตัว แทบล้วนๆ ประเภทฉลาดแบบผู้ก่อการร้ายนั่นแหละ ถ้าฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีก ฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา มาอยู่ด้วยกันก็วิบัติเห็นๆ เพราะพูดและทำบนฐานของ ปัญญาคนละแบบ


ลึกไปกว่านั้น ถ้าฝ่ายหนึ่งเห็นชัดตามจริงว่าอะไรๆไม่เที่ยง กายใจก็ไม่เที่ยง กระทั่งความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นมาก เหตุ เล็กนิดเดียวแต่ขยายให้เป็นผลใหญ่โต อย่างนี้คงนึกระอาหรือหมั่นไส้กันและกัน เป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่เสมอกันย่อมสร้างความร่าเริงในการสนทนา และย่อมเป็นความ อุ่นใจไม่พรั่นพรึงที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน จึงย่อมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ตลอดไป

คงเห็นแล้วนะครับว่าถ้าศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน จะทำให้พวก คุณนั่งไปในรถคันเดียวกันตลอดรอดฝั่งได้ท่าไหน คู่ที่เสมอกันทุกด้าน จะอยู่ร่วม กันอย่างกลมกลืนเสมือนเป็นคนเดียวที่แบ่งเป็นภาคชายและภาคหญิง และนี่คงเป็นคำตอบให้กับหลายคำถามที่น่าปวดหัว เช่น ทำไมคู่รักในอุดมคติจึงหาได้ยากนัก? เหตุใดคู่รักส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึกแต่ต้นว่าเป็นพวกเดียวกัน? นั่นก็เพราะคนเราอย่างเก่งก็เต็มใจแค่ ‘ปรับตัว’ เข้าหากัน แต่ที่จะปรับศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาให้เสมอกันนั้น พวกคุณต้องมีกำลังใจมหาศาลจากรักแท้ เสียก่อน! ชาติก่อนบำเพ็ญมาอย่างไรไม่รู้ แต่ชาตินี้รู้ และสุดแต่ว่าพวกคุณจะช่วยกัน ลงทุนลงแรงเพียงใด เพื่อเส้นทางร่วมกันทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้า สรุปคือการปรับจิตวิญญาณให้เสมอกันจะทำให้ได้เสวยภพเดียวกัน ทั้งภพ ปัจจุบันและภพในอนาคต ฟังง่าย ทำยาก แต่บรรลุผลได้จริงครับ!


ที่มา : พุทธธรรมนำใจ/เฟสบุ๊ค/บ้านมหา.คอม