กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ: คำสอน หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

  1. #1
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    คำสอน หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

    คำสอน หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

    คำสอน หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

    คำสอน หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

    จากหนังสือ ธรรมะโอวาท

    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ท่านเป็นพระเถระที่มีพุทธศาสนิกชนเคารพเลื่อมใสศรัทธามากที่สุดอีกองค์หนึ่ง มโนสำนึกที่ท่านแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดก็คือ ความเมตตาของท่านอย่างแท้จริงที่ท่านพยายามจะช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้พ้นจากความทุกข์ ผู้คนเป็นจำนวนมากมายที่ได้รับความเมตตาจากท่าน นับถือท่านประดุจดังเทพเจ้า และทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้กระทำลงไป ท่านทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยเมตตาธรรมอันสูงยิ่ง ทำให้คนที่เป็นทุกข์อยู่ได้มีความสุขใจได้ ระดับหนึ่ง จนท่านได้รับการกล่าวขานด้วยความเคารพนับถือจากพุทธศาสนิกชนทั่วไปว่า เป็นนักบุญแห่งที่ราบสูง

    หลวงพ่อมีคำสอนที่ลึกซึ้ง กินใจ แม้ว่าบางครั้งคำพูดของท่านอาจจะฟังไม่ระรื่นหูนักสำหรับบางคน แต่ความหมายแห่งคำสอนของท่าน สามารถช่วยให้ผู้ที่ได้รับฟังและนำมาคิด ได้รับประโยชน์สุขในการดำรงชีวิตเป็นอย่างยิ่ง


    หลักการทำบุญ

    เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม โดยส่วนหนึ่งได้แก่การบริจาคปัจจัย หรือมอบเงินให้กับการกุศลจำนวนมากมหาศาล ซึ่งล้วนก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่สาธารณชนทั่วไป ดังเช่นคราวมอบเงินเพื่อสร้างโรงพยาบาล อำเภอสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมาจำนวนเงิน ๑๕ ล้านบาท หลวงพ่อให้จารึกที่ป้ายหน้าโรงพยาบาลว่า “หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ สร้างอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอนุวงศ์ อดีตเจ้าเมืองเวียงจันทน์ (ประเทศลาว)”

    จากคำจารึกดังกล่าว ทำให้ผู้คนสงสัยว่า เป็นเพราะเหตุใดหลวงพ่อคูณจึงได้อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าอนุวงศ์ ซึ่งถือเป็นศัตรูกับชาวโคราช หลวงพ่อคูณจึงได้ไขข้อข้องใจว่า การทำบุญไม่แตกต่างจากการคิดทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ต้องมีแนวทาง หรือขั้นตอนในการทำ นั่นคือการทำบุญแต่ละครั้ง แผ่ส่วนกุศลให้กับศัตรูหมู่มารด้วย เช่น เจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ เพราะเป็นของคู่กับเราเหมือนดำคู่กับขาว มืดคู่กับสว่าง สุขคู่กับทุกข์ เป็นต้น หากไม่มีเจ้าอนุวงศ์ก็ไม่มีโอกาสมีวีรสตรี หรือท้าวสุรนารีและลูกหลานก็ไม่มีโอกาสได้รู้จักบุคคลสำคัญคือ คุณย่าโม นางสาวบุญเหลือ ดังคำกล่าวที่ว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” ดังนั้นเจ้าอนุวงศ์จึงสมควรที่จะได้รับบุญกุศลด้วยจึงสมบูรณ์


    หัวใจพระพุทธศาสนา

    หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง สรุปมาเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาได้ ๓ ประการ คือ ละความชั่ว ทำดีให้ถึงพร้อม และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ มีสมาธิ หลวงพ่อคูณได้ให้คำสอนสำหรับพุทธศาสนิกชนยึดถือปฏิบัติสั้นๆเข้าใจง่ายๆว่า “ละทำชั่ว ทำดี มีศีลธรรมประจำใจ”

    หลวงพ่อกล่าวถึงการปฏิบัติธรรมตามหลักเบญจศีล และเบญจธรรม ท่านมักกล่าวอยู่เสมอว่า คนไทยจะต้องละความชั่ว ทำดี มีศีลธรรมประจำใจ

    ท่านบอกว่า...

    “อยากให้บ้านเราเจริญนะ ไม่ยากหรอก ตั้งอยู่ในองค์ปัญจะทั้ง ๕ คือรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ไม่ให้ขาด อย่าให้ด่างพร้อย เป็นมนุษย์สุดประเสริฐ หรือใครก็ตาม แม้แต่พระเราก็ต้องรักษาศีล ๕ ถ้าไม่มีศีล ๕ ประจำใจ ไม่ว่าพระรูปใดรูปหนึ่ง ก็เป็นพระไม่ได้เหมือนกัน


    บุญบาปมีจริง

    หลวงพ่อคูณจะแนะนำคำสอนอยู่ตลอดเวลา และให้นำไปประพฤติปฏิบัติเอง จะได้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง อันนำมาซึ่งความเจริญทั้งต่อตนเองและประเทศชาติ โดยให้ยึดมั่นและให้เชื่อว่า บาปมีจริง บุญมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ให้ปฏิบัติตามศีล ๕ อันเป็นรากเหง้าของศีล เท่านี้ก็นับว่าเป็นมนุษย์สุดประเสริฐแล้ว

    หลายครั้งที่ท่านพูดเรื่องบาปบุญ เช่นอวยพรปีใหม่ ตอนหนึ่งว่า...

    ...กูไม่มีอะไรมาก กูไม่มีอะไรจะสอนพวกมึงหรอก เพราะพวกมึงก็รู้ว่ากูพูดไม่เป็น พูดไม่เก่งเหมือนเขา เทศนาว่ากล่าวอะไรก็ไม่เป็น กูมีแต่ว่าให่ละชั่ว ทำดีกันเท่านั้นแหละ บุญบาปมีจริงลูกหลานเอ้ย ให่เชื่อว่าบุญมีจริง บาปมีจริง ให่ละชั่ว ทำดี มีศีลธรรมประจำใจ บุญเห็นกับตา บาปเห็นกับตา รักตัวกลัวภัยอย่าทำชั่ว ให่ตั้งอยู่ในเมตตา”

    หลวงพ่อคูณกล่าวขึ้นว่า ขึ้นชื่อว่าบุญมีอะไรก็ทำไป อย่าไปเลือกว่าบุญมากบุญน้อยทำไปก็มากเอง

    “คนนับถือศาสนาพุทธ ไม่ต้องเชื่ออะไร เชื่อบุญมีจริง บาปมีจริง ก็ใช่ได้ เท่านั้นพอ ไม่ต้องทำอะไร”


    เวลาทำบุญทำไมต้องไปถึงพระพุทธบาท

    “พ่อแม่อยู่บนบ้าน มึงไม่ทำบุญเลย มึงควรทำบุญทุกวันก็จะได้มาก มึงอย่ามัวรอทำบุญ ๑๐๐ วันมึงจะได้สักเท่าไร”

    หลวงพ่อคูณให้ข้อคิดเกี่ยวกับการทำบุญว่า การทำบุญ อย่าไปกลัวบุญ อย่าไปอายบุญ ต้องแข่งเขาทำ เหมือนกับการสร้างพระประธานเอาไว้ในโบสถ์ สร้างได้แค่องค์เดียว ต้องแย่งกันจอง เหมือนกฐินที่จะนำไปทอดวัดที่มีชื่อเสียง ถ้าไม่จองกันไว้ก่อน มีเงินล้นฟ้าเท่าไรก็ทอดไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

    และท่านได้กล่าวว่า...

    “คนทำบุญนี้ ก็ต้องฝึกมาตั้งแต่เป็นเด็ก เมื่อเคยฝึกทำมาแล้ว ภายหลังมีเงินมีทอง จะบริจาคก็ไม่เสียดาย”

    หลวงพ่อคูณให้ความสำคัญ และพยายามเน้นให้สาธุชนเชื่อในเรื่องบุญ เรื่องบาป โดยให้เชื่อว่าบุญมีจริง บาปมีจริง เพราะถ้าเชื่อเช่นนี้แล้ว เราจะหันไปประกอบแต่กรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว ใครทำบุญจะได้ไปสวรรค์ ใครทำชั่วจะได้ไปนรก คือความทุกข์กายทุกข์ใจ ดังคำกล่าวที่ว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”

    กิเลส

    ความโลภ ความโกรธ ความหลง ถือว่าเป็นรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งหลายทั้งปวง ในทางพระพุทธศาสนาสอนให้นำอำนาจของพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำลายล้างกองกิเลสทั้ง ๓ นี้ โดยใช้วิธีปฏิบัติตามธรรมะ ๓ ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา ตามลำดับ

    หลวงพ่อคูณเป็นผู้ทำเป็นตัวอย่างในการที่จะตัดกิเลสทั้ง ๓ นี้ ท่านพยายามที่จะจัดการกับกิเลสพวกนี้ หลวงพ่อคูณแนะนำว่า “ตัวไหนมันมากระซิบหูเรา อย่าไปเชื่อมัน” เช่นตัวโลภะมา ก็เฮ้ยจะไปโลภทำไม

    สิ่งที่ท่านกลัวที่สุดคือกลัวโลภะ โทสะ โมหะ จะเกิดขึ้น กลัวมันจะครอบงำจิตสันดาน ถ้ามันมาครอบงำแล้ว ไม่ว่าใครก็จะเสียคน เป็นบ้าไปเลยทีเดียว ตื่นไม่รู้ตัว เมาตลอดกาลถ้าหลงพวกนี้

    แม้แต่หลวงพ่อคูณก็ยังอยากได้เงิน เพื่อเอาไปพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง ไปขุดบ่อขุดบึง ทำสาธารณประโยชน์ส่วนรวมแก่คนทั้งหลาย แต่การบริจาคของหลวงพ่อคูณแต่ละครั้งไม่เคยติดตาม ไม่เคยทวงถามว่านำเงินไปใช้ตามประสงค์หรือไม่ ให้ไปแล้วจะทำอะไรก็ช่างเขา ถ้าไปตามดู เห็นเขาทำไม่ดีไม่งาม ก็จะบันดาลโทสะ นั่นแหละคือตัวกิเลส แม้แต่จะมีคนนำปัญหาต่างๆมาเรียนให้ทราบไปเรื่อยๆ เมื่อบริจาคให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เป็นเรื่องที่จะพิจารณากันเอง สิ่งเหล่านี้แสดงออกถึงความเป็นผู้ละวาง “ยิ่งเอามันยิ่งอด ยิ่งสละให้หมด มันยิ่งได้”

    ความประมาทเป็นบ่อเกิดแห่งความตาย

    การตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท คือ ไม่ประมาททั้งทางโลกและทางธรรม เป็นธรรมะที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลักธรรมข้ออื่นๆ ถ้าหากมนุษย์เราปฏิบัติธรรมะข้อนี้ได้เหมือนกับได้ปฏิบัติตามหลักธรรมข้ออื่นๆ ของพระพุทธองค์ได้ครบทั้งหมด

    แต่ถ้าบุคคลใดประมาท หลวงพ่อคูณท่านกล่าวว่า ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว คือคนหมดชีวิตแล้ว ถ้าประมาทเมื่อใดก็ตายเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นทำอะไรทุกอย่าง ทำให้ดี อย่าได้ประมาท อย่าผัดผ่อน ถ้าประมาทแล้วนึกได้ทีหลังจะเสียใจ

    ท่านให้ข้อคิดกับคนทีเอารถมาเจิมว่า...

    “การขับรถอย่างระมัดระวังไม่ประมาท สำคัญกว่าการเจิม อย่างโบราณท่านว่า วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือก็ชนกันตาย การขับรถจะต้องดูทาง ถ้ามันคดโค้งจะต้องระมัดระวัง”




    อย่าดีแต่พูด

    พุทธศาสนิกชนที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อคูณนั้นไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่ท่านสามารถเทศนาสั่งสอนประชาชนด้วยลีลาโวหารอย่างพระนักเทศน์ทั่วไป แต่เกิดจากข้อวัตรปฏิบัติและปฏิปทาของหลวงพ่อคูณ ซึ่งประจักษ์แก่สายตาพุทธศาสนิกชนอย่างชัดเจน นอกจากคำสอนที่เป็นคำพูดตรงๆแทรกธรรมง่ายๆที่ประชาชนทั่วไปฟังแล้วเข้าใจโดยง่าย แม้ท่านจะเป็นพระอาจารย์ชื่อดังของประเทศ แต่ละวันมีเงินบริจาคหลั่งไหลเข้าวัดจำนวนมาก แต่วิถีชีวิตของท่านก็ยังคงดำเนินไปแบบสมถะและเรียบง่าย เงินที่เข้าวัดในแต่ละวันหลวงพ่อคูณไม่ได้สะสม แต่จะบริจาคสร้างสาธารณประโยชน์

    หลวงพ่อคูณจึงเป็นตัวอย่างในการเป็นผู้ที่มีความสมถะ และเรียบง่าย รู้จักบริจาคทาน ดังที่ได้กล่าวให้พุทธศาสนิกชนได้คิดในโอกาสต่างๆว่า...

    “มันต้องสอนตัวเองก่อน จะแนะนำอะไรเขาตัวเองทำให้เขาดูตัวอย่างก่อน เช่น สอนให้เขาบริจาคทาน ตัวเองต้องบริจาคเสียก่อนด้วยจึงจะถูก ใครมันจะไปเชื่อ เชื่อไม่ได้ ต้องทำให้เขาดูก่อน สอนตัวเองก่อน ถึงค่อยไปสอนคนอื่น จะทำอะไรทุกอย่างมันต้องทำให้เขาดูก่อน เขาจึงจะเชื่อ ...

    อย่างพระสงฆ์ อย่าดีแต่ไปสอนคนอื่น สอนตัวเองบ้างเถอะน่า สอนคนอื่นอย่างน้ำไหลไฟดับ แต่ตัวเองไม่สอน บอกให้เขาบริจาคเท่านั้นเท่านี้ แต่ตัวเองไม่ทำให้เขาดูก่อน หรือจะเป็นครูอะไรก็ตาม มันต้องสอนตัวเองให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่น เป็นครูนาฏศิลป์ก็ต้องรำเป็น เป็นครูพละก็ต้องเล่นกีฬาเป็น หรือเป็นครูอะไรๆก็ต้องทำเป็นก่อนทั้งนั้น

    พระพุทธองค์ก็เหมือนกัน สอนตัวเองได้แล้ว ท่านอาชนะตัวเองได้แล้ว จึงได้เสด็จออกไปเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์และเวไนยสัตว์”


    ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

    หลวงพ่อคูณ ท่านได้กล่าวเตือนสติบุคคลหลายๆสาขาอาชีพอย่างเช่น ข้าราชการ นักการเมือง เอาไว้ว่า...

    กูเป็นพระไทย พ่อแม่ของกูก็เป็นคนไทย กูก็เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยคนหนึ่งเหมือนกัน กูก็รักแผ่นดินไทยไม่น้อยกว่าคนอื่น อะไรไม่ดีกูก็ติ อะไรไม่ถูกกูก็ว่า กูจะไม่เฉยๆเหมือนหลายๆคนเฉยเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัว เรื่องการเมือง เรื่องยาบ้า เรื่องคนโกงกิน ไม่ได้เกี่ยวกับพระอย่างกูเลยแม้แต่น้อย

    กูต้องพูดออกมา ออกมาเทศน์เตือนสติกันอยู่บ่อยๆเพราะว่าหลายคนนั้นฟังชนิดที่เรียกว่า เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วเลยไปเข้าหูไอ้ตูบ มิฉะนั้นนักการเมืองโกงชาติจะเพิ่มขึ้น คนผลิต คนค้า และคนเสพยาบ้ากันมากขึ้น เมื่อมีคนชั่วอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง พระอย่างกูอาจจะไม่มีคนใส่บาตรข้าวให้กิน กูอาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ที่ร้ายไปกว่านั้นอาจไม่มีวัดให้อยู่ก็อาจเป็นได้

    พระไม่ใช่ว่าจะดีไปทุกองค์ นักการเมืองก็ใช่ว่าจะดีไปทุกคน รวมไปถึงข้าราชการใช่ว่าจะมีแต่คนดี ทุกๆสังคม ทุกๆวงการ ย่อมมีทั้งคนดี คนชั่ว คนเลว อยู่รวมกัน แต่ทุกวันนี้ดูๆแล้วคนชั่วจะมีมากกว่าคนดี พระอย่างกูอาจจะไม่ดีกว่าพระองค์อื่นๆนัก เพียงแต่กูไม่เก็บสะสมทรัพย์สิน เงินทองที่ญาติโยมถวายมา กุก็ไปทำบุญสร้างสาธารณประโยชน์อีกทอดหนึ่ง

    เดี๋ยวนี้แผ่นดินไทย เมืองไทย มีการปกครองไม่เหมือนในอดีต นักการเมืองกลายเป็นเจ้าประเทศ นักการเมืองเป็นนักปกครองประชาชนไปเสียแล้ว นักการเมืองจะพูดอะไร ข้าราชการทุกระดับต้องเชื่อฟังไปหมด ถ้านักการเมืองไปเยี่ยมหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ข้าราชการหน่วยงานนั้น ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนไปต้อนรับขับสู้เอาใจมัน ราวกับว่านักการเมืองคนนั้นเป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของข้าราชการ ทั้งๆที่ก่อนการเลือกตั้ง นักการเมืองมันมากราบไหวเรารางกับพ่อแม่ของมัน แต่พอมันได้รับเลือกตั้ง มันกลับทำตัวเป็นพ่อแม่ของเรา

    นักการเมืองมีหน้าที่รับใช้ประชาชน ไม่แตกต่างกับพวกข้าราชการ แต่นักการเมืองเขากลับทำตัวเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เขาปกครองข้าราชการทุกระดับ ถ้าใครไม่ทำงานสนองนโยบาย หรือไปขวางทางกินมัน มันก็เด้ง มันก็ย้ายให้ไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ชนิดไม่ให้เห็นดาวเดือนกันเลยทีเดียว

    “ลูกหลานเอ๋ย... การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม จงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด อย่าได้ทุจริตต่อหน้าที่เลย”

  2. #2
    ศิลปิน นักแต่งเพลง สัญลักษณ์ของ ธีระปลัด
    วันที่สมัคร
    Oct 2009
    กระทู้
    529
    บล็อก
    8
    สาธุ...............................................

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •