หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 2 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 12
กำลังแสดงผล 11 ถึง 16 จากทั้งหมด 16

หัวข้อ: พุทธธรรมนำใจ

  1. #11
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    พุทธธรรมนำใจ

    การละบาป

    พุทธธรรมนำใจ


    "การละบาป เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการทำบุญ"

    ถ้าทำบาปแลกบุญจะขาดทุนเรื่อยไป"


    "ใจจะสงบได้ ก็เพราะความเห็นที่ถูกต้อง"


    "ธรรมดาจิตนั้นนะ..มันมีเวลาขยัน และขี้เกียจ
    ถ้าทำเพียรด้วยสัจจะ เราต้องทำเรื่อยทั้งที่ขี้เกียจ
    ทำจิตให้จิตรู้อยู่ การรู้ภายใน การฉลาดภายในจิตจะเป็นอย่างนี้
    การทำทุกวัน บางทีสงบ บางทีไม่สงบ เป็นอนิจจัง"


    "เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นในจิตใจของเราแล้ว
    จะมองไปที่ไหน..จะมีแต่ธรรมะทั้งนั้น
    เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดเวลา"

    ธรรมะโอวาท หลวงพ่อชา


    ที่มา : เฟสบุ๊ค/พุทธธรรมนำใจ/บ้านมหา.คอม

  2. #12
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    พุทธธรรมนำใจ

    อำนาจใดเหนืออำนาจกรรมไม่มี (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)


    พุทธธรรมนำใจ


    อำนาจใดเหนืออำนาจกรรมไม่มี (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗



    พระที่มาในงานเผาศพท่านปัญญานี้ ๓๙๐ วัด แล้วพระเณรจะเป็นจำนวนเท่าไรมีบัญชีนะ จำนวนเท่าไรเราลืมแล้ว ดูเหมือนเป็นพันๆ ขึ้นไปละมัง ก็คิดดูตั้งแต่วัดก็ ๓๙๐ วัดแล้วนี่ มาเต็มหมดเลย สิ่งของจัดแจงให้เรียบร้อยเราสั่ง แจกให้ได้ทั่วถึงทุกวัดทุกวา ของที่บรรดาศรัทธาญาติโยมบริจาคนี้ ทางวัดจัดมาบริจาคให้หมด บอกให้หมดเลยเพื่อวัดนั้นๆ เราจัดทำอย่างนั้น ขัดข้องอะไรๆ มาเอาข้างในออกไปอีกๆ ตอนเย็นๆ เมื่อวานเราถึงได้ด้อมๆ เข้าไปดูโกดัง โห ไม่ใช่เล่น เกือบหมด วันนี้เขาก็จะสั่งแหละ สั่งเข้าๆ เรื่อย เพื่อแจกทานแก่ผู้ยากจน


    เฉพาะโรงพยาบาล โหย น่าสงสารมากนะ เราจึงได้อุตส่าห์บึกบึน อยู่เฉยๆแทนที่จะว่างมันไม่ว่างนะหัวใจ สงสาร ซอกแซกเข้าไปที่ลึกๆ ถ้าเป็นโรงพยาบาลไม่ลึกนัก เข้าออกได้สะดวกสบาย การจับจ่ายซื้อหาอะไรก็ง่าย แต่อยู่ลึกๆนั่นซี ลึกๆก็คน แน่ะ ความจนก็มีได้ด้วยกัน จึงต้องซอกแซกๆ เข้าไปๆ เราช่วยเต็มกำลังตลอดมา ช่วยหมดทุกแห่งทุกหน เหมือนน้ำไหลซึมไปได้ทุกแห่ง ไหลซอกนั้นซอกนี้ไหลซึม อันนี้ก็เหมือนกัน นั่นละอำนาจเมตตาธรรมซึมอยู่งั้น ครอบแล้วยังไม่แล้วยังซึมอีก นี้เป็นหลักธรรมชาติ


    เราก็ไม่เคยคิดเคยอ่านเคยมีความรู้สึกว่าจิตนี้จะเป็นอย่างนี้ นี่หมายถึงจิตของเราที่ได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน การบำเพ็ญการกุศลผลบุญต่างๆ จนกระทั่งก้าวเข้ามาบวชรักษาศีลรักษาธรรม ขวนขวายเพื่อศีลเพื่อธรรมเพื่อความดีงามแก่ตนตลอด การบำเพ็ญธรรมก็บำเพ็ญหนุนจิตใจ เพราะจิตใจนี้ถูกกิเลสตัณหาปกคลุมหุ้มห่อ ซึ่งเป็นเรื่องของยาพิษๆ ต่อจิตใจทั้งนั้นๆ ธรรมะก็พยายามชำระซักฟอกๆ โดยการอบรม เช่น จิตตภาวนา เป็นต้น ซักฟอกเข้าไปๆ จิตที่มัวหมองมืดตื้อค่อยมียิบแย็บๆ มีแสงสว่างแห่งความดีออกมาๆ เรื่อย ทีนี้เมื่อเวลาได้รับการอบรมโดยสม่ำเสมอ เพศของพระมีแต่บำรุงธรรมทั้งนั้นเข้าสู่จิตใจ เมื่อบำรุงเสมอจิตใจค่อยเจริญงอกงามขึ้นมาๆ สิ่งไม่เคยรู้รู้ สิ่งไม่เคยเห็นเห็น
    ทำไมจึงได้เห็นจึงได้รู้ แต่ก่อนกิเลสคือความมืดดำมันปิดไว้ไม่ให้เห็น มันเอาแต่เรื่องของมันออกมาหลอกโลกพร้อมให้ดีไปหมด ถ้าเป็นเรื่องของกิเลส ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดี นี่ละไฟเผาโลกก็ดี นี่ละกิเลสก็ดีๆ ส่วนธรรมนั้นเห็นเป็นภัยๆ ตลอดๆ จึงต้องได้ชะได้ล้างบำรุงรักษาจิตใจ ใจเมื่อได้รับการบำรุงรักษาย่อมเจริญงอกงามขึ้นมา เหมือนสิ่งเพาะปลูกต่างๆ ที่เราปลูกไว้ตามไร่ตามสวน มีการบำรุงรักษาด้วยปุ๋ยด้วยน้ำแล้วค่อยเจริญขึ้นๆ จิตใจที่ได้รับการบำรุงจากการสร้างความดี ระมัดระวังรักษาใจ ใจก็เจริญงอกงามขึ้นๆ นั่นละที่นี่ แล้วปรากฏขึ้นมา เช่น ต้นไม้ต้นหนึ่งนี้ เอาไปปลูกต้นเล็กๆ เท่านี้ เราคิดเมื่อไรว่ามันจะออกกี่กิ่งกี่ก้านกี่แขนงกี่ดอกกี่ลูก คิดไม่ได้นะ ให้บำรุงลำต้นให้ดีนี่สำคัญ บำรุงลำต้น รักษาให้ดี เวลาเกิดขึ้นมาแล้วการแตกการแยกของดอกของใบของกิ่งก้านตลอดถึงลำต้นของมันนี้มันจะผลิตขึ้นเองๆ จากปุ๋ยทั้งหลาย


    ความดีก็เหมือนกัน บำรุงจิตใจนี้จะค่อยงอกเงยขึ้นมา แตกเป็นกิ่งเป็นก้านเหมือนต้นไม้นั่นแหละ แล้วแตกไปเท่าไรก็ไปดูซิต้นไม้ต้นหนึ่งใครไปตบแต่งให้มัน มันก็เป็นของมันเองเมื่อได้รับการบำรุงรักษาแล้ว จิตใจของเราก็แบบเดียวกัน ยิ่งพิสดารกว่านั้นเอามากมายนะ นี่เราพูดเทียบเข้ามาทางด้านจิตใจ เราก็ไม่เคยคิดเคยเห็นว่าจิตใจจะเป็นอย่างนี้ๆ ในทางที่ถูกที่ดีด้วย ในทางที่ชั่วให้รู้ให้เห็นด้วย ในทางที่ดีให้รู้ให้เห็นด้วย เป็นสมบัติหนุนเจ้าของด้วย มันก็มาเห็นขึ้นที่จิตใจที่ได้รับการบำรุงรักษาอยู่เสมอ และซักฟอกสิ่งไม่ดีทั้งหลายออกเสมอ แล้วก็ค่อยดีขึ้นเจริญขึ้นๆ

    ...นี่เราพูดถึงเรื่องเมตตานะ มันก็เลยต่อมาๆ ที่ว่ามันไหลซอกแซกซิกแซ็ก มันเป็นเองนะ ค่อยเป็นค่อยไป เป็นเอง มองไปที่ไหนมันมีแต่ความจนตรอกจนมุมของโลก หาความสมบูรณ์พูนผลไม่มีมันเป็นยังไง มันหากเป็นของมันเอง โลกกว้างแสนกว้างแทนที่จะเต็มไปด้วยความสุขความเจริญ กลับกลายเป็นฟืนเป็นไฟ โลกเลยกลายเป็นเชื้อไฟ ไฟเผาโลกคือความทุกข์ความทรมานเผาหัวใจสัตว์ มันเลยกลายเป็นอย่างนั้นเสีย ทีนี้ก็ดิ้นรนกระวนกระวายหาความช่วยเหลือ หาผู้ช่วยเหลือ ใครมีเมตตามีอรรถมีธรรมก็ช่วยเหลือกันไปๆ อย่างนี้แหละ


    พระพุทธเจ้าจึงได้ยกว่าทานเป็นอันดับหนึ่งในโลกที่อยู่ร่วมกัน ไม่มีทานอยู่ไม่ได้ แม้ที่สุดพ่อกับแม่กับลูกแตกกัน ท่านว่าอย่างนั้นนะในธรรมมี ทานเป็นของสำคัญมาก เป็นพื้นฐานที่โลกอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าสัตว์ไม่ว่าบุคคลมีทานเป็นพื้นฐานทั้งนั้น เราคิดดูซิอย่างปลวกอย่างมด เขาหาอะไรๆ มาได้มาเลี้ยงดูกันในรังของเขา นั่นตั้งแต่สัตว์มันก็ยังมีทานมีการเสียสละ เพราะฉะนั้นทานจึงเป็นพื้นฐานของธรรมทั้งหลาย กระจายออกๆ นี่พูดถึงการช่วยโลก แต่ก่อนก็ไม่เคยคิดว่าจิตดวงนี้มันจะเป็นอย่างนั้นๆ ไม่ได้เป็นด้วยความเสกสรรนะ


    เรื่องความสงสารที่ให้ที่นั่นที่นี่ ไม่ได้เป็นด้วยความเสกสรร มันหากเป็นขึ้นในจิตเอง แต่ก่อนมันไม่เคยมี เวลามีแล้วมันก็แสดงขึ้นมามากน้อยๆ ออกละที่นี่ เวลากำจัดความหิวโหย ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวเหล่านี้ออกไปๆ ความอิ่มพอหนุนเข้ามาๆ ด้วยการสร้างความดี ทีนี้พอ นั่นถึงขั้นพอได้ การสร้างความดีพอได้ การสร้างความชั่วไม่พอ ได้เท่าไรไม่พอ ไม่มีอะไรพอคือกิเลสสร้างกองทุกข์บนหัวใจคน ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา กิเลสทั้งนั้นสร้างตัวเองขึ้นมาใส่หัวใจสัตว์ สัตว์ทั้งหลายจึงดิ้นรนกระวนกระวายหาความพอไม่ได้ เพราะความหิวโหยเผาเอาๆ


    เอาธรรมเป็นน้ำดับไฟชะล้างลงไปๆ ความดีงามมีมากเท่าไรแล้วมองเห็นเราและมองเห็นเขา มองเห็นความจำเป็นของเรา มองเห็นความจำเป็นของโลก ดูไปๆ ทีนี้การเสียสละออกมาเองๆ เรื่อยกระจายไปหมด นั่นละออกจากเมตตาธรรมเป็นความเสียสละๆ ทีนี้เวลาบำเพ็ญพอ ที่ตะเกียกตะกายมาก็ไม่เคยคิดว่าจะพอไม่พออะไร แต่หากทำไปตามภาสีภาษาภายในใจ บำเพ็ญไปอย่างนั้นแหละ ทีนี้ดำเนินเข้าไป ความแปลกประหลาดความอัศจรรย์ ความดื่มด่ำภายในจิตนี้หากเป็นขึ้นมาในตัวๆ เพราะความเพียรอันเป็นต้นเหตุหนุนในทางดีขึ้นมา ก็จ้าขึ้นมาๆ ฟาดเสียผึงทีเดียว นิพพานคือพอเห็นไหมล่ะ กิเลสคือพอไม่มี กิเลสตัวสั่งสม นิพพานตัวกำจัดสิ่งหิวโหยทั้งหลายเหล่านี้ออกจากใจ



    ...เรื่องท่านปัญญานี่ก็จัดการอะไรเรียบร้อยหมดแล้ว อัฐิธาตุของท่านก็มอบให้พระท่านแจกกันไปกราบไหว้บูชา อัฐิธาตุของพระดีคนดี เป็นสิริมงคลแก่ผู้รับไป ธรรมดากระดูกนี้ไม่มีใครกลัวยิ่งกว่ากลัวผี กระดูกเข้าไปป่าช้านี้กลัว กลัวกระดูกนั่นแหละเข้าใจไหม เป็นผีเป็นตัวเสนียดจัญไร แต่พอกระดูกของท่านผู้มีบุญมีคุณกลายเป็นกระดูกที่เลิศที่เลอ ไม่มีใครกลัว มีแต่อยากได้ทั้งนั้น นี่มันกลับกันนะ พากันจำเอา วันนี้พูดเท่านั้นละ พูดวันละเล็กละน้อยไม่พูดมาก เหนื่อย
    ต่อจากนี้ไปก็จะให้พร ให้พรแล้วเราก็ไปของเรา เอาของไปแจกทาน แจกตามโรงพยาบาล แจกตามวัด แจกไปเรื่อย พูดถึงเรื่องทาน ท่านสาธกไว้อย่างชัดเจนมากก็คือ เช่นอย่างพระสีวลี ไปที่ไหนเกลื่อนกล่นด้วยจตุปัจจัยไทยทาน ถึงขนาดพระพุทธเจ้าทรงประกาศเกียรติคุณของท่านผู้ให้ทาน เช่น พระสีวลีนี่นักให้ทาน พระเรวัตตะน้องชายของพระสารีบุตรท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านอยู่ในป่าลึก พระองค์รับสั่งว่า นี่เราจะไปเยี่ยมพระเรวัตตะ พระอานนท์ก็มากราบทูลวิงวอนขออย่าให้ไป ว่าที่อัตคัดขัดสนมาก ไปมาลำบากลำบน แล้วพระองค์จะเสด็จไปยังไง


    พระองค์ยกพระคุณของพระสีวลีขึ้นมา โห เราลำบากเราอดอยากก็ต้องอาศัยพระสีวลีซิ เอาพระสีวลีไปด้วย พระองค์ทรงเลิศขนาดไหนพระองค์ไม่เกี่ยวกับพระองค์ ยกพระสีวลีลูกศิษย์ตถาคตขึ้นบนหัวพ่อเลย เอาพระสีวลีไปด้วย นั่นละอำนาจแห่งทาน คือไปที่ไหนหากเป็นอยู่ในจิต จิตนี้เป็นแม่เหล็ก แม่เหล็กทั้งฝ่ายชั่วฝ่ายดี ไปทางความชั่วเป็นแม่เหล็กทางชั่ว คนดีเข้ามาหาไม่ได้ ถ้าคนชั่วติดทันทีๆ ทีนี้คนดีมาติดความดี เป็นแม่เหล็กอันหนึ่งติด ท่านแสดงไว้ในตำรา เวลาดูพื้นฐานดั้งเดิมของท่านพระสีวลี โอ๋ ก็น่าร่ำลือ ท่านทำจนร่ำลือว่างั้นเถอะ ทีนี้เวลาผลปรากฏขึ้นมาพระสีวลีเอียงไปไหนไม่ได้ ไหลเข้ามา ก็ผลบุญผลทานของท่านทั้งนั้นไม่ใช่ของใคร ของท่านตามสนองท่าน เป็นอย่างนั้นละ
    ผิดกับคนตระหนี่ถี่เหนียว คนตระหนี่ถี่เหนียวท่านก็มายกเป็นตัวอย่างไว้เหมือนกัน เพราะเป็นความจริงด้วยกัน คนตระหนี่ถี่เหนียวไปที่ไหนคับแคบตีบตัน ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม เช่นอย่างเกิดมาเป็นคนขอทาน ไปเกิดในแม่ใด ลูกของแม่ใด เด็กคนนี้ไปเกิดในสถานที่ใดแม่นั้นอดอยากขาดแคลนลำบากลำบน อุ้มลูกไปขอทาน ไม่มีใครให้ทาน ถ้าวันไหนไม่เอาลูกไปแล้ววันนั้นเป็นธรรมดาๆ ขอทานได้ทั่วไป อัธยาศัยของมนุษย์มีการสงเคราะห์กันเป็นพื้นฐานมาดั้งเดิม ไม่ใช่พึ่งมามีวันนี้คืนนี้ มีมาดั้งเดิม ถ้าวันไหนลูกไปด้วย วันนั้นอดอยากทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าวันไหนลูกไม่ได้ไปด้วย ไปขอทานลำพังตนได้มา นี่อำนาจแห่งความคับแคบตีบตันมันปิดกั้นไว้หมด นี่ท่านก็แสดงเอาไว้



    แล้วก็มาถึงพระเราอีก นี้เอาในตำรามาพูดนะ ท่านเอาความจริงมาพูด คนที่ว่านี่แหละมาบวชเป็นพระ บิณฑบาตมาฉันไม่เคยอิ่ม จนร่ำลือไปหมด พระองค์นี้ไปไหนไปด้วยความอดอยาก ไปที่ไหนไม่เคยสมบูรณ์ ถ้าพระองค์นี้ไปไหนพระองค์อื่นพลอยอดอยากด้วย นั่นฟังซิ ร่ำลือไปหมดนะไม่ใช่ธรรมดา ไปที่ไหนๆ ลำบาก การทำบุญเขาทำอยู่ทั่วๆ ไป พระบิณฑบาตก็ไปเหมือนกัน ท่านก็ไปเหมือนกันกับเขา แต่กรรมของท่านกับพระทั้งหลายต่างกัน แน่ะ ถ้าให้ไปข้างหน้าบันดลบันดาลไม่ให้เขาเห็นเสีย ยิ่งให้อยู่สุดท้ายข้าวหมดแล้ว มันยังไงกัน เสียงดังไปหมดในวงพุทธศาสนาเรา
    กระเทือนไปถึงพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ ท่านก็มาเองเพราะร่ำลือเหลือประมาณความอดอยากขาดแคลนของพระองค์นี้ตั้งแต่วันบวชมา ว่างั้นนะ บิณฑบาตฉันจังหันไม่เคยอิ่มเลย มันหากเป็นอยู่ในกรรมนั่นแหละ ทีนี้พระสารีบุตรมา บรรจุข้าวเต็มบาตรท่านมาเลย ทั้งพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์มาเยี่ยมพระองค์นี้ให้เห็นด้วยความสัตย์ความจริง มาก็เข้าถึงเลย ได้ทราบว่าท่านอดอยากขาดแคลนตั้งแต่บวชมา บิณฑบาตฉันวันหนึ่งๆ ไม่เคยอิ่ม เป็นความจริงไหม ว่าเป็นความจริง เพราะอะไรจึงไม่อิ่ม พระท่านไม่ให้เหรอ หรือเขาไม่ใส่บาตรให้ ท่านก็บรรยายไป พระท่านทำทุกอย่าง แต่กรรมอันนี้มันก็เหนือทุกอย่างเหมือนกัน


    จึงว่าที่ท่านพูดว่า นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ (นัตถิ กัมมะ สมัง พลัง) นี่ก็พุทธภาษิต ไม่มีอะไรมีอำนาจเหนือกรรมไปได้ ไม่ว่ากรรมดีกรรมชั่ว ใครอย่าอวดเก่ง กรรมเหนือตลอดนะ ตัวนั้นละเป็นผู้มีอำนาจทำกรรม และกรรมนั้นแหละมีอำนาจบังคับตัวเองในทางชั่ว เสริมตัวในทางที่ดี คือกรรมดีกรรมชั่วของตัวเองนั้นแล ไม่ใช่กรรมนี้เหาะลอยมาจากไหน มาจากเจ้าของเองผู้ทำ นั่นท่านว่า นี่ท่านบอกไว้ในตำรา น่าสลดสังเวชนะ


    เอาวันนี้ ท่านว่างั้นนะ พระสารีบุตรเองใส่บาตรให้เลย ถามทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดลออเราไม่พูดมากแหละ ย่นเวลาเข้ามาให้พอดี เอ้า จะใส่บาตรให้ ใส่แต่ของดิบของดี ก็พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกเป็นพระอรหันต์ ใส่บาตรให้เต็ม เอ้า วันนี้ท่านฉันให้อิ่มนะ ใส่บาตรให้เต็ม เต็มแล้วฉัน เวลาท่านฉันพระสารีบุตรต้องจับขอบปากบาตรเอาไว้ ฟังซิ ถ้าปล่อยนี้ปั๊บจะหมดไปๆ เลย ใครมองเห็นเมื่อไรว่าหมดเมื่อไร นี่ละอำนาจของกรรมเห็นต่อหน้าต่อตาอย่างนั้น พระสารีบุตรจับขอบปากบาตรเอาไว้ เอา วันนี้ฉันให้อิ่มนะให้พอ ท่านก็ฉันอิ่มวันนั้น เลยตายในวันนั้นนะ อาจจะอิ่มวันเดียวก็ตาย นี่อำนาจผลกรรมแสดงให้เห็น


    นี้ออกมาจากความตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัวยังไม่แล้ว มีเล่ห์มีเหลี่ยมหลายสันพันคมที่จะคดจะโกงรีดไถผู้อื่นเข้ามาเป็นกรรมหมุนเข้ามาหาเจ้าของหมด ให้พากันจำเอานะ นี้ประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอก พูดไม่มีสองคือศาสดาองค์เอก นี่เรานำมาพูด ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ตถาคตให้ฟังเสียงนี้ให้ดี อย่าเอาความอยากความทะเยอทะยานมาเหนือกรรมนะ ความอยากนี่ละเป็นเหตุให้ทำกรรม กรรมจะเหนือผู้นี้อีก ผลจะแสดงออกมาอย่างนี้ เข้าใจเหรอ ท่านแสดงไว้อย่างนั้นชัดเจน


    ทั้งดีทั้งชั่วท่านแสดงไว้เป็นคติตัวอย่างทั้งหมด อย่างที่ว่าพระสีวลีไปที่ไหนเต็มไปหมด เกลื่อนไปด้วยวัตถุไทยทาน ดูเหมือนท้าวสักกเทวราชบันดลบันดาลให้ลงมา นิรมิตตนเป็นคนแก่คนทุกข์คนจนมารอใส่บาตรท่าน ท้าวสักกเทวราชกับนางสุชาดานั่นละมา นิรมิตตนเป็นคนแก่มาใส่บาตรท่าน อย่างนั้นนะ มันบันดลบันดาลถึงโน้นละอำนาจแห่งความดี เอาละเท่านั้น



    ผู้กำกับ ; "ลูกศิษย์ฝากถวายมาครับ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๓๐ ส.ค. ๔๗ ครับ"

    หลวงตาอ่านหนังสือพิมพ์ ; เผาพระฝรั่ง เช้าวันที่ ๒๘ ส.ค. ที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ได้มีการจัดงานฌาปนกิจหลวงพ่อปัญญา ปัญญาวัฑโฒ พระชาวอังกฤษ อายุ ๗๘ ปี รองเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ที่มรณภาพด้วยโรคมะเร็งลำไส้ โดยมีหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีนายจารึก ปริญญาพล ผวจ.หนองบัวลำภู เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ท่ามกลางพระสายธรรมยุต และข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน แห่ร่วมพิธีคับคั่งนับหมื่นคน
    หลังจากเลี้ยงพระเช้า ตชด.ได้แบกบศพหลวงพ่อปัญญา จากศาลาใหญ่ขึ้นสู่เมรุ ระหว่างนั้นเมฆได้เคลื่อนบดบังแสงอาทิตย์แล้วเกิดรุ้งรูปวงกลม หรือพระอาทิตย์ทรงกลดนาน ๒๐ นาที
    จากนั้นหลวงตามหาบัวได้ขึ้นแสดงธรรมเทศนาแล้วทอดผ้ามหาบังสุกุล ปรากฏว่าได้เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ ท่ามกลางสายตาผู้ร่วมงานนับแสน(ทีแรกก็นับหมื่น ทีนี้ฟาดขึ้นเป็นแสน)
    กระทั่งมีการจุดไฟบนเมรุ ระหว่างที่เพลิงกำลังเผาสังขารหลวงพ่อปัญญา ได้เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดเป็นครั้งที่ ๓
    ทำให้ผู้ร่วมงานเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ เพราะเกิดขึ้นถึง ๓ ครั้ง หลังเสร็จการฌาปนกิจ ตชด.ได้นำลวดหนามวางรอบกองฟอน เพราะเกรงชาวบ้านแห่แย่งอัฐิ เนื่องจากเชื่อว่าหลวงพ่อปัญญาบรรลุธรรม


    หมดเท่านั้นนะ (ครับ) พวกนี้มามันไม่ได้มองดูเมรุ มองดูสิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรม มันแหงนหน้าขึ้นฟ้าไปดูพระอาทิตย์ทรงกลด มันตาดียิ่งกว่าหลวงตาพวกนี้น่ะ ตาดียิ่งกว่าตาแมวอีก เข้าใจหรือ มันไปเห็นพระอาทิตย์ทรงกลด หลวงตาก็อยู่ด้วยกันหลวงตาไม่เห็น แสดงว่าลูกศิษย์เก่งกว่าหลวงตา พวกบ้านี่มันเก่งกว่าครู เอาละพอ เรายอมรับละเรื่องท่านปัญญา การปฏิบัติหาที่ตำหนิไม่ได้เลยตั้งแต่ท่านมาอยู่ และสมเหตุสมผลที่ท่านมาขออยู่วัดเราตั้ง ๕ ครั้งนะ เราไม่รับถึง ๕ ครั้ง นั่นละครั้งที่ ๕ ถึงได้มาขอพลิกแพลงใหม่ ถ้าไม่รับให้อยู่เป็นประจำก็ขอมาพักชั่วคราวก็เอาท่านว่า เราก็เลยผ่อนลงมา ท่านมาพักชั่วคราวเราก็รับได้


    ทีนี้พักชั่วคราวตั้งแต่วันที่ ๖ กุมภา ๒๕๐๖ จนกระทั่งวันท่านมรณภาพจากไปกี่ปีฟังซิจะว่าไง ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราไม่เคยได้ดุด่าว่ากล่าวท่านเลย ฟังซิ อยู่นี้ได้ ๔๑ ปี บรรดาพระเณรจะต้องมีการดุด่าว่ากล่าวชี้แจงนั้นนี้ด้วยความผิดพลาดของตัวเองอยู่เสมอ ในฐานะเราเป็นครูเป็นอาจารย์คอยสอดส่องดูแลความผิดถูกชั่วดีของพระ ต้องได้เตือนเสมอ สำหรับท่านปัญญาไม่เคยมี นั่นฟังซิ ท่านเรียบขนาดนั้น ยังทำให้คิดย้อนหลังมาอีกด้วยว่า ถ้าเป็นนักมวยเราต่อยท่านปัญญาไม่ถูก คือไม่เคยได้ดุด่าว่ากล่าวท่านเลย ต่อยที่ไหนก็พลาดไปๆ ท่านปัญญาอาจต่อยเราถูกไม่รู้กี่ครั้ง แต่ท่านไม่พูดเฉยๆ ท่านอาจจะตำหนิเราอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ภายในใจ เรียกว่าต่อยเราถูกๆ เราไม่รู้ตัวก็ได้ นี่ละพระที่ดีเป็นอย่างนี้
    นี่ละสัตว์โลกฟังซิ กิเลสมีในหัวใจ แก้กิเลสออกแล้วดีเลิศเลอเหมือนกันหมด ให้ถือเอาจุดนี้ อย่าไปถือเอาชาติชั้นวรรณะ ชาตินั้นชาตินี้ อย่า อันนี้เรื่องโลกเขานิยมว่ากันไปตามโลก ธรรมนี่ สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายมีความทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ต้องการความช่วยเหลือจากโลกด้วยกันตลอดไป ฟังซิน่ะ เอาละที่นี่ให้พร...



    ที่มา : เฟสบุ๊ค/พุทธธรรมนำใจ/บ้านมหา.คอม

  3. #13
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    พุทธะรรมนำใจ

    " คติธรรม (3) "

    พุทธะรรมนำใจ

    " คติธรรม (3) "
    เราไม่สามารถช่วยใครให้พ้นจากกรรมที่เขาทำไว้ได้
    สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ...เตือนสติเท่านั้น
    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหลุดจากกรรมตรงนั้น
    นอกจากว่าเขาจะหักดิบหรือไม่สร้างกรรมเพิ่มเติมกับสิ่งนั้นอีก

    ไม่ง่ายเลยที่จะหลีกเลี่ยงกรรมที่เคยทำไว้
    กรรมจะผลักดันให้เราทำในสิ่งนั้น
    เราก็จะสร้างกรรมเพิ่ม และส่งผลในชาติหน้าอีก

    อย่างเช่นว่า...

    เขาเคยว่าเราในชาติที่แล้ว
    พอมาชาตินี้เราก็ว่าเขากลับอีก ( เท่ากับเราสร้างกรรมเพิ่มอีก
    จองเวรกันไม่รู้จบสิ้น สร้างความอาฆาต และพยาบาทเพิ่มเติม )
    พอชาติหน้าก็ไปเจอกัน ก็ว่ากันอีกทำร้ายกันอีก ไม่จบไม่สิ้น

    วางเฉย เมื่อใครเกลียด
    วางเฉย เมื่อใครด่าว่า
    วางเฉย เมื่อใครโกรธ

    " ผูกโกรธ เครียดแค้น เปรียบเสมือนไฟเผาใจ สร้างเวรกรรมไม่จบสิ้น "

    หยุดสร้างเวรกรรม ตั้งแต่วันนี้เสียดีกว่า..



    ที่มา : เฟสบุ๊ค/พุทธธรรมนำใจ/บ้านมหา.คอม

  4. #14
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    พุทธธรรมนำใจ

    " บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า...! "
    ( สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี )


    พุทธธรรมนำใจ


    " บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า...! "
    ( สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี )


    “ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมี
    ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว...
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้...แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง”...!

    “จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้...
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่...
    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน
    เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า...”




    ที่มา : เฟสบุ๊ค/พุทธธรรมนำใจ/บ้านมหา.คอม

  5. #15
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    พุทธธรรมนำใจ

    " อานิสงส์กฐินทาน "


    พุทธธรรมนำใจ


    " อานิสงส์กฐินทาน "

    ......ในครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มาอุบัติในโลก มีบุรุษเข็ญใจไร้ญาติพี่น้องทั้งทรัพย์
    สินเงินทองก็ขาดแคลนอาศัยเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองพาราณส ี ไปหาสิริธรรมมหาเศรษฐีมีทรัพย์
    ๘๐ โกฏิ แล้ววิงวอนขออยู่เป็นลูกจ้าง ท่านเศรษฐีมีความสงสารจึงถามว่ามีความรู้อะไรบ้าง บุรุษเข็ญ
    ใจบอกว่า ข้าพเจ้าไม่มีความรู้อะไรเลย มีแต่กำลังกายเท่านั้นท่านเศรษฐีกล่าวว่าถ้าเช่นนั้น เจ้าจง
    ไปรักษาหญ้าเราจะให้ข้าววันละหม้อ

    ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บุรุษก็รักษาหญ้าจนมีชื่อว่า ติณณปาละ อยู่มาวันหนึ่ง ติณณปาละมาคิดว่าตัวเรานี้ ในชาติปางก่อนคงจะไม่ได้ทำบุญกุศลอันใดไว้เลย มาถึงชาติ นี้เราจึงได้ลำบากยากแค้น แม้แต่อาหารจะรับประทานไปวันหนึ่งๆ ก็ทั้งยาก แต่นี้ต่อไปเราจะต้องขวนขวายให้ทานทุก ๆ วัน เมื่อมีความตั้งใจอย่างนี้แล้ว ก็แบ่งอาหารออกเป็น ๒ ส่วน ๆ หนึ่ง ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ อีกส่วนหนึ่งไว้บริโภคเองทำอย่างนี้มาตลอดทุก ๆ วันมิได้ขาดด้วยอำนาจบุญกุศล ที่ติณณปาละทำนั้น ก็ทราบไปถึงสิริธรรมเศรษฐีผู้เป็นนายจ้างจึงสั่งให้เ พิ่มอาหารขึ้นอีกเป็น ๓ ส่วน
    ติณณปาละก็แบ่งออกไปอีกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งถวายภิกษุสามเณรอีกส่วนหนึ่งให้แก่ยาจก อีกส่วน
    ตนเก็บไว้บริโภค ทำอยู่อย่างนี้เป็นลำดับมา

    จนถึงฤดูออกพรรษาประชาชนและท่านสิริธรรมเศรษฐีได้พาก ันทำกฐินทานเพื่อจะถวายแก่ภิกษุสงส์ ผู้อยู่จำพรรษาด้านไตรมาส สามเดือน ติณณปาละได้ทราบ ข่าวดังนี้แล้วก็เข้าไปหาสิริธรรมเศรษฐีถามถึง
    อานิสงส์ผลของกฐินทานว่าการถวายทานอย่างนี้ คงจะมี ผลเป็นอันมาก เพราะประชาชนไม่นิ่งนอนใจ ช่วยกันหลายคนเศรษฐีบอกถึงคุณานุภาพ ของกฐินทานโดยละเอียดจนติณณปาละเกิดศรัทธาแก่กล้า ก็ถามว่าอีกเมื่อไรจะถึงกำหนดถวาย เศรษฐีบอกว่าอีก ๗ วัน

    ติณณปาละก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตนก็คิดว่าจะนำของไปเห ็นวัตถุทานก็ไม่มี เห็นอยู่แต่ผ้านุ่งผืน
    เดียวเท่านั้นที่จะนำเข้าเป็นส่วนกฐินทานได้ เมื่อจะเปลื้องผ้าออกทาน ตัวกิเลสคือความตระหนี่เหนียว
    แน่นก็มากั้นไว้ถ้าสละผ้าผืนนั้นแล้วเราจะไหนนุ่ง มีอยู่ผืนเดียวเท่านี้ ผลที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าเรา
    จะต้องถวายแน่ ก็เปลื้องผ้ามาทำการซักฟอกและย้อมด้วยน้ำฝาดตนเองก็เ อาใบไม้มานุ่ง ป้องกันความ
    อายเท่านั้น แล้วรีบนำผ้าไปหาเศรษฐี มอบอนุโมทนาผ้านั้นเข้าเป็นส่วนบริวารของกฐินนั้น เศรษฐีก็รับ
    อนุโมทนานำผืนของติณณปาละเข้าเป็นส่วนผ้าบริวาร ซึ่งยังขาดอยู่ผืนหนึ่งแล้วนำไปถวายแก่พระภิกษุสงฆ์



    เสียงโกลาหลก็บังเกิดขึ้นในขณะนั้นด้วยเสียงสาธุการข องเทวดาทั่วทั้งอากาศและปฐพี พระมหากษัตริย์ได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้ว ก็ตกพระทัยกลัวว่าจะมีมรณภัยมาถึงพระองค์รับสั่งให้ห าปุโรหิต
    แล้วตรัสถามถึงเหตุโกลาหลอื้ออึงนั้น ในครั้งนั้นมีเทวดาองค์หนึ่งที่รักษาอยู่เศวตฉัตรจึง กล่าวว่า ดูกร
    มหาบพิตรเสียงโกลาหลอื้ออึ้งนั้น มิใช่ว่าจะมีภัยมาถึงพระองค์นั้นเป็นเสียงของเทวดาทั ้งหลายในหมื่น
    โลกธาตุได้สาธุการส่วนบุญของติณณปาละเป็นคนเข็ญใจ รักษาไร่หญ้าของเศรษฐี ได้เปลื้องผ้านุ่งของ
    ตนออกมาเข้าส่วนกฐินทาน พระองค์อย่าตกพระทัยไปเลย พระราชาทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงปีติยินดี รับ
    สั่งให้หาติณณปาละพร้อมทั้งส่งผ้าสาฏกคูหนึ่ง ราคาผืนละหนึ่งแสนกหาปณะไปพระราชทาน นาย
    ติณณปาละก็นุ่งสาฎกเข้าเฝ้าพระราชา ครั้นพระราชาทรงขอซื้อส่วนกุศลด้วยทรัพย์มีประมาณพัน หนึ่ง
    จนทวีขึ้นเป็นลำดับจนถึงแสนกหาปณะ ติณณปาละ ก็ไม่ขายให้ตามพระประสงค์ได้จึงกราบทูล จะ
    ทรงซื้อด้วยทรัพย์นั้นไม่ได้ พระเจ้าข้าถ้าหากพระองค์จะอนุโมทนาส่วนบุญนี้ได้อยู่
    พระเจ้าข้า พระราชามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งให้คนดีฆ้องร้องประก าศตลอดทั้งพระนครแล้วพระราช
    ทาน ช้าง ม้า โค กระบือ ข้าทาส ชายหญิงอย่างละหนึ่งร้อย บูชาแก่ติณณปาละเป็นอันมาก แล้วตั้งไว้
    ในตำแหน่งเศรษฐีส่วนพ่อค้าคฤหบดีเศรษฐี ก็พากันสละทรัพย์เป็นจำนวนมากออกบูชาคุณติณณปาละ
    เป็นสมบัติมากมาย ที่ติณณปาละได้แล้วก็ด้วยบุญกุศลเจตนาอันแรงกล้า จึงเป็นผลสำเร็จให้ผลทันตา
    เห็นในปัจจุบันชาติ ครั้นติณณปาละทำกิริยาตายแล้ว ก็ไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์

    ครั้นถึงพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเ จ้ามาตรัส ติณณปาละเทวบุตร ก็จะจุติลงมาอุบัติเป็นราชโอรส แห่งนครมัณฑาลวดี ครั้นต่อมาเสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา อยู่ ๔ หมื่นปีแล้วออกบวชเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา สำเร็จพระอรหันต์องค์หนึ่งของพระศรีอริยเมตไตรย์ มีนามว่าติณณปาละเถระ ดังนี้เป็นต้น ตสฺมา สาธโว เมื่อสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายที่ทราบรู้เหตุรู้
    ผลของการถวายผ้ากฐินทานว่ามีอานิสงส์อย่างไรแล้วก็ขอ อย่าให้ท่านทั้งหลายจงอย่าเป็นผู้ประมาท ใน
    เมื่อถึงคราวกาลสมัยที่จะถวายก็ควรจะถวายก็ควรทำจะเป ็น ของมากน้อยอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญอยู่
    ว่าให้ทำและทำด้วยศรัทธาอย่างจริงจัง แล้วตั้งความปรารถนาของตนไว้ด้วยดี มิใช่ว่าทำเห็นแต่หน้าหา
    ความศรัทธามิได้ ทรัพย์ที่เราสละไปก็จะไม่ได้ผลเต็มที่ ถ้าเราทำด้วยความเต็มใจแล้วถึงแม้จะน้อยก็
    ย่อมมีอานิสงส์มากดังเรื่องติณณปาละ



    ที่มา : พุทธธรรมนำใจ/บ้านมหา.คอม

  6. #16
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    พุทธธรรมนำใจ

    " การทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว "
    ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )



    พุทธธรรมนำใจ

    " การทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว "
    ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )

    ผู้ทำบุญโดยส่วนมาก ๙๙ เปอร์เซ็นต์
    เพื่ออุทิศแก่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น

    ชาวพุทธมีดีตรงนี้แหละ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย แล้วทำดีเพื่อสนองพระคุณของท่านเหล่านั้น ถ้าไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว คนเราก็จะกลายเป็นเดรัจฉานไปหมด

    การทำความดี คือ บุญกุศลนี้ย่อมทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนและคนอื่น ทำในที่เปิดเผย ไม่ทำในที่ลับด้วยและทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เหมือนกับคนที่ทำความชั่ว

    ทำความชั่วนั้นทำด้วยความเศร้าหมองไม่ผ่องใส และก็ทำในที่ลับไม่เปิดเผยด้วย ทั้งไม่อุทิศส่วนบาปนั้นให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ถึงแม้อุทิศให้แก่ใคร ก็ไม่มีใครอยากรับ เพราะเป็นของเศร้าหมอง

    ทำบุญให้แก่ผู้มีพระคุณที่ตายไปแล้วนี้
    จงทำด้วยของบริสุทธิ์
    อย่าไปฆ่าเป็ด ไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายมาทำ
    จะบาปหนักเข้าไปอีก
    ทำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยใจผ่องใสบริสุทธิ์
    เป็นต้นว่าตักบาตรถวายอาหารพระสงฆ์ บุญก็มากเอง
    บุญมิใช่เกิดเพราะไทยทานมากๆ
    แต่เกิดขึ้นจากใจเลื่อมใสศรัทธาต่างหาก
    เปรียบเหมือนเทียนที่เรามีอยู่แล้ว
    ไปขอต่อจากคนอื่น เทียนของคนอื่นก็ไม่ดับ
    ของเราก็ได้ไฟสว่างมา
    เหตุนั้นบุญในพุทธศาสนาจึงหมดไม่เป็น
    คนมากี่ร้อย กี่พัน
    เอาหัวใจของตนมาตักตวงเอาบุญในพุทธศาสนานี้
    ก็ไม่มีหมดบุญยังเต็มเปี่ยมอยู่ตามเดิม
    ถ้าทำด้วยความเลื่อมใสแล้ว
    วัตถุทานมีน้อยก็กลายเป็นของมากเอง



    ที่มา : พุทธธรรมนำใจ/บ้านมหา.คอม

หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 2 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 12

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •