** สาระน่ารู้ **


อย่ารับโทรศัพท์ขณะกำลังชาร์จแบต เมื่อไม่กี่วันก่อน ชายคนหนึ่งชาร์จโทรศัพท์ไว้ ที่บ้าน มีโทรศัพท์เข้ามา เขารับโทรศัพท์ทั้งๆที่โทรศัพท์ยังเสียบปลั๊กอยู่ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที

กระแสไฟฟ้าได้ไหลผ่านโทรศัพท์เข้าสู่ตัวเขา/และอาจเกิดการระเบิดขึ้นมาได้

เขาล้มลง กับพื้นเสียงดังมาก พ่อแม่ของเขารีบมาที่ห้องและพบเขาหมดสติ ชีพจรเต้นอ่อน และนิ้วมือเป็นรอยไหม้ เขาถูกส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงอย่างด่วน แต่หมอบอกว่า เสียชีวิตระหว่างทาง โทรศัพท์มือถือเป็นนวตกรรมที่มีประโยชน์มาก แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็น เครื่องมือที่นำไปสู่ความตายได้เช่นกัน ไม่ควรใช้โทรศัพท์ขณะกำลังเสียบปลั๊ก อยู่ กรุณาส่งข้อความนี้ให้คนที่คุณรัก


"พอดีได้รับ FW. มาจากน้องคนหนึ่ง อ่านแล้วก็ตกใจเล็กน้อยโดยไม่ทราบหรอกนะคะว่าเรื่องที่ได้อ่านจริงหรือเท็จแต่ด้วยความที่ตนเองเป็นคนชอบคุยโทรศัพท์ทีละนานๆ พอแบตหมดกลางคันสนทนาก็จะ เสียบปลั๊กแล้วคุยต่อทันที

ที่ผ่านมากลัวอยู่เรื่องเดียวคือแบตระเบิดระหว่างที่ "สนทนาไปด้วยชาร์ทแบตไปด้วย " แต่เพิ่งทราบว่ามีกระแสไฟไหลเข้ามาสู่ร่างกายเราได้ด้วย"



********************************************************************************************************


อันตราย !!!


อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศ ( แอร์ ) ทันทีที่คุณขึ้นรถ !
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจอดรถตากแดดไว้ ให้เปิดหน้าต่างหลังจากขึ้นรถ
และอย่าเปิดแอร์ทันที

ตามผลการวิจัย

แผงหน้าปัทม์ ( คอนโซล ) เบาะที่นั่ง และน้ำหอมปรับอากาศ จะสร้างสารเบนซีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งขึ้น ( อย่างที่คุณได้กลิ่นเหมือนพลาสติคจาง ๆ ในรถ " โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถใหม่ "

นอกจากเป็นสาเหตุให้เป็นมะเร็งแล้ว สารดังกล่าวยังเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และลดจำนวนเม็ดเลือดขาว ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เป็นโรคลูคีเมีย และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์มารดาได้

ระดับของสารเบนซีนที่ยอมรับได้ในอาคาร / ในรถ< FONT color=red size=4> คือ 50 มิลลิกรัม ต่อ ตารางฟุต แต่ระดับของสารเบนซีนในรถที่จอดอยู่ในร่มม ีค่าอยู่ที่ 400 - 800 มิลลิกรัม หากรถจอดอยู่กลางแจ้งที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า 60 องศาฟาร์เรนไฮท์ ( 15.5 องศาเซลเซียส " ในเมืองไทยจอดในร่มอุณหภูมิก็สูงเกินแล้ว " : ผู้แปล ) ระดับของสารเบนซีนจะสูงขึ้นถึง 2000 -4000 มิลลิกรัม คือสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ถึง 40 เท่า คนที่อยู่ในรถจะหายใจเอาสารพิษที่สูงเกินมาตรฐานดังกล่าวเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ดังนั้นจึงขอแนะนำ
ว่าให้คุณเปิดประตู หน้าต่างรถ ไว้สักระยะเพื่อให้อากาศที่อยู่ในตัวรถออกมาก่อนจะเข้าไปนั่ง สารพิษที่ร่างกายคุณไม่สามารถขับออกได้โดยง่าย ซึ่งส่งผลร้ายต่อ ตับ ไต ไส้ พุง (" สองอันหลังเพิ่มเอง " : ผู้แปล ) จะได้ลดปริมาณลง

" เมื่อใครบางคนแบ่งปันบางสิ่ งที่มีค่ากับคุณ และคุณได้รับประโยชน์จากมัน คุณก็ควรจะแบ่งปันสิ่งนั้นให้กับผู้อื่นด้วย "



********************************************************************************************************




เรื่องของคนขี้แพ้




เมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หนูดีเพิ่งรู้ตัวค่ะว่าเป็นคนขี้แพ้อย่างหนัก

เพราะที่ผ่านมามีคุณหมอหลายรายพยายามบอกหนูดีแล้วว่า

หนูดีเป็น “ภูมิแพ้” แต่หนูดีก็ไม่เคยตั้งใจฟัง

ให้ยาอะไรมาหนูดีก็ไม่เคยยอมกิน แค่รับยามาพอให้คุณหมอสบายใจ

พอถึงบ้านก็วางไว้อย่างนั้นจนอาการหายไปเอง


เรียกว่าอยู่ในภาวะ “ปฏิเสธ ความจริง” และ ดื้อเงียบแบบสุดขีด เพราะใครเลยจะนึกว่า

คนที่ใช้ชีวิตปกติได้ เดินทางไปไหนมาไหนได้ ป่วยก็ไม่ค่อยบ่อย เกสรดอกไม้ก็ไม่เคยแพ้

จะเป็น “คนขี้แพ้” กับเขาได้ด้วย

แต่ก็เป็นไปแล้วค่ะ และแพ้ในสิ่งที่ไม่น่าแพ้ได้ คือ อาหารโปรดที่ชอบกินรวมถึง

โทรศัพท์มือถือ และ คอมพิวเตอร์ของตัวเองด้วย



เมื่อต้องมาศึกษาข้อมูลเพื่อดูแลตัวเอง ก็เลยตกใจว่าหนูดีใช้ชีวิตมาได้ตั้ง 30 ปีเข้านี่แล้ว โดยกิน

อาหารที่ตัวเองแพ้มาเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นคือ “อาหารสุขภาพ” ที่ใครๆ ก็ยอมรับกันทั่วโลก แต่หนูดี

ก็เพิ่งทราบว่า อาหารก็เหมือนแฟชั่นนะคะ คือ อะไรที่ซูเปอร์โมเดลใส่แล้วสวย ก็ไม่ได้หมายความว่า

เราจะใส่สวยเหมือนเขาเสมอไป อาหารสุขภาพก็เช่นเดียวกันค่ะ



อาหารที่ดีโดยสากลไม่ได้หมายความว่าจะดีกับร่างกายทุกคน

บางทีอาหารที่เราคิดว่าดี กินเข้าไปแล้วกลับเป็นโทษกับร่างกายของเราเต็มๆ

เลยไม่รู้ว่าเป็นอาหารหรือว่ายาพิษกันแน่



ต้องเท้าความก่อนว่า เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

หนูดีโชคดีที่ได้ไปพบกับแพทย์ทางเลือกท่านหนึ่ง ที่ไม่สั่งยา

แต่สั่งเป็นวิตามินแทน และมีวิธีตรวจร่างกายแบบใหม่ต่างจากการตรวจร่างกายประจำปีในโรงพยาบาล

ซึ่งหนูดีตรวจทุกปีอย่างละเอียดเทียบเท่ากับคนอายุ 60 เสมอ

และไม่เคยพบอะไรผิดปกติเลย



แต่สิ่งหนึ่งที่งงก็คือ ทั้งๆ ที่ร่างกายดี

แต่ทำไมบางครั้งกินอาหารเสร็จแล้วง่วงรู้สึกไม่มีแรง อยากกินของหวานช่วงบ่ายๆ

และเป็นไมเกรนเป็นระยะๆ ด้วย ทั้งที่ผลเลือดก็แสนปกติ



หนนี้หนูดีเลยลองตรวจเซลล์เลือดสดที่เจาะและเอาขึ้นจอดูสภาพเม็ดเลือดกันเดี๋ยวนั้น

ในเวลาไม่เกิน 2 นาทีก่อนที่เลือดจะแปรสภาพ ตอนแรกหมอเอาภาพเม็ดเลือดที่สุขภาพดีให้ดู

จะเห็นเม็ดเลือดแดงกระจายตัวและเห็นเม็ดเลือดขาวเกาะกันอยู่อย่างแข็งแรง

ส่วนเลือดที่ไม่ค่อยดีจะเห็นเม็ดเลือดแดงเกาะกันเป็นกระจุก แสดงว่าเลือดข้นไป




ก่อนตรวจหนูดีก็มั่นใจว่าเลือดเราดีแน่เพราะเราก็เลือกวิธีดูแลสุขภาพแม้จะชอบกินขนม

ก็ไม่น่าจะส่งผลเสียกับภาพรวมได้มากมาย ที่ไหนได้ เจาะออกมาแล้ว พอเอาสไลด์เลือดขึ้นหน้าจอ

เห็นสภาพเลือดตัวเองแล้วแทบเป็นลม ไม่นึกไม่ฝัน เพราะเม็ดเลือดแดงหนูดีเกาะตัวกันเป็นพวง


เม็ดเลือดขาวแตกกระจายเป็นหย่อมๆ แถมเห็นโลหะหนักต่างๆ ลอยตัวปะปนในเลือดอีกเต็ม

คนอ่านค่าบอกว่าเลือดหนูดีมีสารปนเปื้อนเยอะ


ดื่มน้ำน้อยไป (โอ้โห ขนาดนี้ยังว่าน้อยปกติหนูดีดื่มจนโดนเรียกว่าอูฐอยู่แล้ว)

นอนดึกไป (หนูดีนอนก่อนเที่ยงคืนยังเรียกว่าดึกหรือคะ) และอีกสารพัด


ต่อจากนั้นยังต้องเจาะเลือดเพื่อไปตรวจดูว่าหนูดีอาจแพ้อาหารอะไรได้บ้างอีก 170 ชนิด

ผลออกมาอีกสัปดาห์หนึ่ง เชื่อหรือไม่ว่าในอาหารท็อปเทนของโปรดตัวเองนั้น

หนูดีแพ้เกือบครบทุกตัว แต่หมายเลขหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงเลยคือ บลูเบอร์รี


โดยคุณหมอแจ้งว่าหมอเสียใจด้วยนะครับ

แต่ว่าคุณหนูดีคงต้องเปลี่ยนวิตามินตัวที่กินอยู่แล้วล่ะ

เพราะว่าหนูดีกินวิตามินต้านอนุมูลอิสระที่ทำจากผลบลูเบอร์รี

(อ้าว ก็ตำราทางสมองของหนูดีเขาบอกว่ามันเป็น “เบรนเบอร์รี” นี่นา)

แถมวิตามินตัวที่สองที่กินทุกวัน ก็คือ น้ำมันปลา


ผลออกมาว่า หนูดีแพ้ปลาทูน่าค่ะ ฉะนั้นน้ำมันปลาที่กินบำรุงสมองมาเป็นปีๆ ก็เท่ากับ

กำลังหยอดยาพิษให้ตัวเองทุกวัน ต้องเปลี่ยนแบบฉับพลัน เป็นน้ำมันจากปลาแซลมอน

หรือน้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ที่มีโอเมก้า 3 เหมือนกัน


ส่วนคุณแม่ของหนูดีแพ้ปลาแซลมอนค่ะ เลยได้มรดกน้ำมันปลาขวดที่เหลือของหนูดีไปกิน

และคุณหมอสั่งวิตามินสำหรับลำไส้และข้อต่อ ชื่อแปลกๆ ที่หนูดีไม่มีวันซื้อมากินเองเป็นแน่

แต่เหมาะกับการฟื้นฟูสภาพร่างกายหนูดีมากให้แทน


ส่วนอาหารประจำวันก็ปรากฏว่าหนูดีไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตเยอะไป

เพราะลักษณะร่างกายย่อยแป้งได้ไม่เก่ง ควรเน้นกินผักต้มมากกว่าผักสด เน้นอาหารทะเล วุ้นเส้น

โดยงดพวกเบเกอรีเพิ่งตาสว่างเลยว่า ทำไมหนูดีกิน “อาหารสุขภาพ” ก็แล้ว

แต่ยังรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะไป “เติมน้ำมันผิดประเภท” ให้ร่างกายตัวเองนั่นเอง

พอกระบวนการย่อยทำงานได้ไม่ดี เครื่องยนต์ก็รวนแถมเหลือสารตกค้างเยอะ

ให้เป็นสารปนเปื้อนในเลือดแบบที่เห็นนั่นเอง ตามมาด้วยอาการเพลีย

ไม่มีแรงโดยไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่เป็นคนไฮเปอร์ขนาดนี้



เรื่องการแพ้ของหนูดียังลามปามไปถึงแพ้โทรศัพท์มือถือ และที่หนักกว่านั้นคือแพ้แล็ปท็อปอีกด้วย

ตอนแรกหนูดีก็ยังไม่เชื่อคุณหมอ เพราะเกิดมาไม่เคยได้ยินคนแพ้มือถือ

แต่คุณหมออธิบายให้ฟังว่า ร่างกายหนูดีดูอ่อนแอกว่าที่ควร

เพราะสนามแม่เหล็กธรรมชาติของร่างกายโดนรบกวนด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัว

ว่าแล้วคุณหมอก็หยิบเครื่องมือเล็กๆ ที่ใช้วัดพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาซึ่งตอนถือก็ดูปกติดี

แต่พอเอามาจี้กับเครื่องแบล็คเบอร์รี่ของหนูดีเข้าก็ส่งแสงสีแดงแวบๆ ไม่หยุด
และแสงนี้ยิ่งแรงเมื่อไปจี้ที่เครื่องส่งสัญญาณตรงด้านหลัง พ้นไปจากบีบีไม่พอ

หนูดีหยิบเครื่องโนเกียรุ่นใหม่สีเงินส่งให้ ปรากฏว่าแรงไม่แพ้กัน

เห็นแล้วสยอง อันที่ค่อยยังชั่วหน่อยคือ โทรศัพท์เครื่องละพันห้าที่สัญญาณรบกวนร่างกายต่ำ

จนตอนนี้หนูดีกับบีบีต้องวางไว้ไกลๆ กันเลยค่ะ หนูดีกลัว ใครใช้ก็ระวังกันด้วยนะคะ

โชคดีที่ไม่ติดมาตั้งแต่ซื้อแล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือ แป้นพิมพ์ตรงหน้าจอแล็ปท็อป

ซึ่งต้องบอกว่าเครื่องวัดสัญญาณ “เสียสติไปเลย” เพราะส่งแสงแดงๆ ไม่หยุด เหมือนสัญญาณเตือนภัยทีเดียว

คุณหมอบอกว่า นี่ล่ะอันตรายมาก และหนูดีก็เลยหายสงสัยว่าทำไมเวลาหนูดีพิมพ์ต้นฉบับนานๆ ตอนกลางคืน

พอพิมพ์เสร็จจะล้าไปหมด ปวดหัว และนอนไม่ค่อยหลับจนต้องเลิกทำงานหน้าจอตอนกลางคืนไป

ทั้งๆ ที่ท่านั่งพิมพ์ก็จัดให้ถูกสุขลักษณะแล้วนะนี่

แต่พอมาเห็นแบบนี้เลยเข้า

ใจว่า อ๋อ ก็มือเราวางอยู่ตรงจุดอันตรายที่สุดเป็นชั่วโมงๆ แล้วจะให้ร่างกายทนทานไหวได้อย่างไร

พอรู้อย่างนี้เลยเปลี่ยนมาใช้แป้นพิมพ์แบบเสียบสายแล้วลากมาเสียห่างหน้าจอ แถมไปถามเพื่อนฝรั่ง

เขาเลยแนะนำว่า

เพื่อนอีกคนมีสายเสียบคอมพิวเตอร์เข้ากับโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ที่บ้าน

แล้วลากเอาแป้นมานั่งทำงานที่โซฟา เรียกว่าไกลกันที่สุดเท่าที่ทำได้ ฟังแล้วชักอยากทำตามบ้าง



ตั้งแต่ยอมรับได้ว่า ตัวเองเป็น “คนขี้แพ้” และเริ่มปรับชีวิตแบบผู้แพ้ได้

หนูดีก็พบว่า เพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ระดับพลังงานของหนูดีเพิ่มขึ้นมากมาย

เริ่มกินอาหารเสร็จแล้วสบายท้อง ไม่อึดอัด ไม่ปวดหัว

ไม่อยากของหวานตอนบ่ายเหมือนที่เคย

รวมถึงพอเปลี่ยนลักษณะการใช้งานโทรศัพท์มือถือ และแล็ปท็อปให้เป็นของไกลตัวขึ้น ก็พบว่าอาการปวดมึนหัว

รวมทั้งปวดไหล่แบบแปลกๆ หายไปด้วย


วันนี้ใครยังกินอาหารสุขภาพอยู่ด้วยความภาคภูมิใจ ลองเช็กสักนิดไหมคะว่า

เราแพ้อาหารนั้นหรือเปล่า เพราะของดีสากล อาจไม่เหมาะกับเราก็เป็นได้ จะได้ไม่ต้องติดกับดักของ “คนขี้แพ้”

แบบที่หนูดีติดมาเป็นปีโดยไม่รู้ตัว





เครดิต : http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19 /บ้านมหา.คอม