ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา**เพราะอะไร?***

ในคนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์แต่ประจำเดือนไม่มา มาน้อยหรือนานๆ มาครั้งสาเหตุที่พบมาจาก 4 สภาวะคือ

1. วัยที่ประจำเดือนเพิ่งมาครั้งแรก
2. วัยที่กำลังหมดประจำเดือน
3. ได้รับฮอร์โมนเข้าไปในร่างกาย
4. ฮอร์โมนผิดปกติ


วัยที่ประจำเดือนเพิ่งมาครั้งแรก ปัจจุบันประจำเดือนของเด็กผู้หญิงทั่วโลกมาเร็วกว่าสมัยก่อน จากอายุเฉลี่ยที่ประจำเดือนมาครั้งแรกอายุ 16-17 ปี เมื่อสมัย 100 ปีก่อน กลายเป็น 14-15 ปี เมื่อ 50 ปีก่อน 12-13 ปี เมื่อ 30 ปีก่อน และปัจจุบันอายุเฉลี่ยในการมีประจำเดือนครั้งแรกลดลงเหลืออายุเพียง 11-12 ปี

เชื่อว่าที่ประจำเดือนมาเร็วนั้นเกี่ยวข้องกับอาหาร การกินอยู่ที่ดีสิ่งแวดล้อมที่มีแสงสว่างหรือรังสีมากระตุ้นประสาทสมองของ เด็กผู้หญิง ทำให้สมองทำงานเร็วกว่าปกติส่งฮอร์โมนไปกระตุ้นรังไข่ให้ปล่อยฮอร์โมนเพศออก มากระตุ้นเยื่อบุมดลูก แต่เนื่องจากรังไข่ของเด็กผู้หญิงที่มีอายุน้อยนั้นยังไม่พร้อมจะทำงาน เมื่อมีฮอร์โมนจากสมองมากระตุ้นก็ปล่อยฮอร์โมนได้บ้างปล่อยไม่ได้บ้าง ประจำเดือนจึงมักมาบ้างไม่มาบ้างจนกว่ารังไข่จะทำงานได้เต็มที่ ดังนั้นกรณีนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีอาการผิดปกติต่อไปนี้ควรพามาพบแพทย์

1. ประจำเดือนมาเร็วกว่าอายุ 8 ปี เรียกว่าเป็นสาวเร็วไปอาจทำให้ตัวเตี้ยได้ เพราะกระดูกอ่อนปิดเร็วขึ้นจากการได้รับฮอร์โมนเพศ
2. ประจำเดือนขาดหายไปนานกว่า 3 เดือน หากไม่รักษาเวลาประจำเดือนมามักมามากกว่าปกติ
3. ประจำเดือนไม่ค่อยมา แต่มาครั้งหนึ่งนานและมากเกิน 1 สัปดาห์ หากไม่รักษาจะทำให้เกิดโรคโลหิตจางหรือภาวะซีดได้
4. ประจำเดือนมากระปริบกระปรอยตลอดทั้งเดือน



ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา**เพราะอะไร?***


วัยที่กำลังหมดประจำเดือน ในวัยหมดประจำเดือนอยู่ในช่วงอายุ 45-50 ปี รังไข่เริ่มทำงานน้อยลงส่งผลให้ขาดหรือหมดฮอร์โมน ประจำเดือนจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม บางคนเริ่มเปลี่ยนแปลงเร็วตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป อาการปกติของวัยที่จะหมดประจำเดือนมีดังนี้

1. ประจำเดือนมาเร็วขึ้น เช่น เคยมาเดือนละ 1 ครั้งก็อาจมาหัวเดือนท้ายเดือนหรือ 20 วันมาครั้งหนึ่ง
2. ประจำเดือนมาน้อยลงหรือเริ่มขาดหาย 2-3 เดือนมา 1 ครั้ง
3. ประจำเดือนมามาก แต่ต้องไม่มากจนเป็นอาการของการตกเลือด
4. ประจำเดือนขาด มีอาการทางร่างกายและจิตใจผิดปกติรุนแรง หงุดหงิดง่าย ร้อนวูบวาบ ปวดกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ ฯลฯ


ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา**เพราะอะไร?***


ส่วนอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์คือ
1. ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือมีก้อนเลือดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโตเกิน 3 ซ.ม.ออกมา
2. ประจำเดือนมาเกิน 7 วัน
3. มีเลือดออกหลังยกของหนักหรือมีเพศสัมพันธ์(อาจเป็นอาการของมะเร็งปากมดลูกได้)
4. เลือดประจำเดือนมีกลิ่นเหม็น(อาจเป็นการอักเสบภายในได้)

ได้รับฮอร์โมนเข้าร่างกาย การได้รับฮอร์โมนมักมีผลกระทบกับประจำเดือนทำให้ประจำเดือนขาดหายได้ เช่น

1. การรับประทานยาคุมกำเนิดนานๆ บางเดือนอาจไม่มีประจำเดือน
2. การฉีดยาคุมกำเนิด มักไม่มีประจำเดือนเลย หรือนานๆจะมีประจำเดือนกระปริบกระปรอย

ทั้ง 2 กรณีถือว่าปกติ แต่หากพบความผิดปกติตามที่ได้กล่าวข้างต้นควรมาพบแพทย์
ฮอร์โมนผิดปกติ เป็นสาเหตุสุดท้ายที่ทำให้ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา อาจมาจากสาเหตุฮอร์โมนไม่เพียงพอที่จะขับเยื่อบุโพรงมดลูกให้กลายเป็นประจำ เดือน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด อ้วนมากไป ผอมมากไป ทำให้สมองไม่ส่งสารเคมีออกมากระตุ้นการสร้างฮอร์โมนจากรังไข่ ส่วนสาเหตุอื่นที่พบได้คือมีฮอร์โมนเพศชายมากจากโรครังไข่หนา รังไข่ทำงานน้อยจากโรคโลหิตจาง มีเนื้องอกในสมองฯลฯ ส่วนการแก้ไขควรแก้ไขตามสาเหตุ

- อ้วน ลดความอ้วน
- ผอม บำรุงเพิ่มน้ำหนัก
- เครียด ลดความเครียดโดยการออกกำลังกาย ปรับวิธีคิด ฯลฯ
- ซีด เสริมธาตุเหล็กเพื่อช่วยบำรุงเลือด
- ขาดฮอร์โมน เติมฮอร์โมนที่ขาด เช่น ถ้าขาดฮอร์โมนเพศหญิงคือ ‘เอสโตรเจน’ อาจรับประทานยาสตรีที่มีส่วนผสมของว่านชักมดลูก เพราะในว่านชักมดลูกจะมีฮอร์โมน ‘ฟีโทสโตรเจน’ จากธรรมชาติ ซึ่งมีฤทธิ์ประเภทเดียวกับฮอร์โมน ‘เอสโตรเจน’ ที่มีในร่างกายผู้หญิง มีสรรพคุณช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนเลือด ช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติ ทำให้สุขภาพดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ดูมีเลือดฝาด แต่หากมีฮอร์โมนเพศชายมากใช้ยาลดฮอร์โมนเพศชาย

แต่จะรักษาอย่างไรควรต้องไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องก่อนนะคะ


ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา**เพราะอะไร?***


ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา**เพราะอะไร?***

ฮอร์โมนและวัยหมดประจำเดือน
ฮอร์โมนและวัยหมดประจำเดือน
โดยทั่วไปแล้วระบบฮอร์โมนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากนักกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่มีผลมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นอย่างเดียวที่สำคัญ คือ ระดับเอสโตรเจนในร่างกายซึ่งลดลงอย่างเร็ดเร็วเมื่อเพศหญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนในช่วงอายุ 45-55 ปี

ผลกระทบที่เกิดจากการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ และรู้สึกเหนี่อยง่ายอาการเหล่านี้สามารถสังเกตเห็นได้(ถึงแม้ว่าขณะนั้นคุณอาจไม่คิดว่านี่คืออาการของวัยหมดประจำเดือน)แต่ผู้หญิงน้อยคนมากที่จะมีอาการเหล่านี้ทั้งหมดอย่างไรก็ตาม วัยหมดประจำเดือนสามารถส่งผลกระทบระยะยาวต่อร่างกายได้ ข้อแรกคือ ระดับของเอสโตรเจนที่ลดต่ำลงทำให้กระดูกพรุน ในขั้นรุนแรงอาจทำให้กระดูกสันหลังโค้งงอหรือทรุดตัวได้ ความเสี่ยงต่อกระดูกหักมีเพิ่มขึ้น ข้อที่สองคือเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหัวใจวาย

ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา**เพราะอะไร?***


ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่ค่อยมา**เพราะอะไร?***


ผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนสามารถลดปัญหาอันเกิดจากวัยหมดประจำเดือนได้โดยการกินอาหารที่มีประโยชน์ใช้ชีวิตอย่างพอดี และการฝึกโยคะทีละน้อยๆ ซึ่งแทบจะสังเกตไม่เห็น แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพที่เห็นได้ชัดในช่วงอายุต่างๆมีดังนี้

-เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไปกระดูกจะเริ่มบางลงความหนาแน่นและความแข็งแรงจะเริ่มน้อยลง เนื่องจากประสิทธิภาพของร่างกายในการดูดซึมแคลเซียมลดลง
- เมื่ออายุ 20 ปีตอนต้น ความยืดหยุ่นของข้อต่อเริ่มถดถอย เนื่องจากเอ็นยืดกระดูกมีความยืดตัวน้อยลงสำหรับหลายๆคน ผิวของข้อต่อจะค่อยๆสึกกร่อนจนเกิดเป็นโรคไขข้ออักเสบในอนาคต
- ช่วงอายุ 30ปี ขนาดความแข็งแกร็งและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อจะค่อยๆเสื่อมสมรรถภาพ ทำให้ออกกำลังกายได้น้อยลง ใช้เวลารักษาอาการบาดเจ็บต่างๆนานขึ้น และร่างกายอาจไม่หายเป็นปกติเหมือนเดิม
- เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป อัตราการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดมีสูงมากการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อหัวใจและเส้นเลือดมีผลต่อระบบเส้นเลือดของหัวใจซึ่งทำให้ออกกำลังกายได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร

- การที่เนื้อเยื่อปอดไม่ยืดหยุ่น ปอดถูกทำลายอันมีสาเหตุมาจากมลพิษ เป็นต้น รวมถึงกระดูกซี่โครงขาดความยืดหยุ่นและการหายใจที่ผิดวิธีล้วนทำให้ความสามารถในการหายใจและการออกกำลังกายลดน้อยลงผู้มีอายุ 40-65 ปี มักเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคทางเดินหายใจต่างๆโดยเกิดกับเพศชาย 17 เปอร์เซ็นต์ และเพศหญิง 8 เปอร์เซ็นต์
-เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป ประสาทสัมผัสต่างๆจะเสื่อมลง เช่น สายตายาวขึ้นความสามารถในการได้ยินเสียงความถี่สูงๆลดลง และความสมดุลในร่างกายลดลง
- เมื่อายุ 65 ปี ร่างกายจะสูญเสียเซลล์สมองไปประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ผลกระทบประการแรก คือ ความจำสั้น เช่น ไม่สามารถจำหมายเลขโทรศัพท์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และการตอบสนองต่างๆก็จะช้าลง

- อายุ 50 ปีขึ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายค่อยๆอ่อนตัวลงทำให้ร่างกายติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียต่างๆได้ง่ายเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง







เครดิต : http://www.uhealthyway.com/2010/12/blog-post_5855.html
เวป ธรรมจักร.เน็ต/บ้านมหา.คอม