กำลังแสดงผล 1 ถึง 4 จากทั้งหมด 4

หัวข้อ: ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ...

  1. #1
    ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมหา สัญลักษณ์ของ มั่วหน่าฮ่าน
    วันที่สมัคร
    Jan 2007
    กระทู้
    1,781

    ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ...

    ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ...
    ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง
    เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
    ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
    ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

    เพื่อเห็นแก่แม่..
    บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
    เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
    ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ
    พระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

    พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี
    มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า
    กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

    แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง'
    ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

    ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ
    พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้
    ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

    วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า
    ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
    ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
    เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า
    ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า
    ล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี

    ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
    ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน
    กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

    ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง
    ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที
    ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมือง
    นอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

    โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้
    ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง
    มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
    ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

    มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่า
    ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
    นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่
    ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง
    รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

    อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า
    ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
    ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

    วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง
    (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
    การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง

    เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับ
    โน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
    รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย

    อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
    ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
    อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น
    พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส
    มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้
    สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น

    และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน
    อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
    ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

    เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
    หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทราด้วย
    ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน
    ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง
    แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน

    อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
    แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
    ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

    "เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่
    เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว
    ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น
    เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน

    แต่พวกเธอรู้ไหม
    เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน
    มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า
    แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง
    นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

    คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
    แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
    เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้ง

    วันเจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า
    เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น
    หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่

    แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก"

    พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
    ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว


    ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู

    ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

    จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย

    จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน

    จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

    แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก

    "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค
    จนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

    โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่

    ขอขอบคุณที่มา
    ที่มา : บ้านใส่ใจ.คอม
    ไม่เข้าถ้ำมอง เหตุไฉนจะได้มอง...http://img198.google.co.th/img198/6016/iinjiisjiisj.gif

  2. #2
    Super Moderator สัญลักษณ์ของ ไก่น้อย
    วันที่สมัคร
    Aug 2006
    ที่อยู่
    นครโคราช
    กระทู้
    4,928
    บล็อก
    8

    Re: ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ...

    บางคนคนเฮากะมองบ่เห็นความบกพร่องของเจ้าของ...........ขอบคุณข้อมูลเตือนใจดีๆคะ
    กระเบื้องจะฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม เมฆจะหล่นฟ้าปลาจะกินดาว ลาวจะครองเมือง ::)

  3. #3
    sokahazaki
    Guest

    Re: ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ...

    ขอบคุณครับ อ่านแล้วเตือนใจได้ดีมากครับ

  4. #4
    อิแหล้โสตาย
    Guest

    Re: ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ...

    เป็นคติเตือนใจใด่ดีมากเลย ขอบคุณหลายที่เอาบทเรียนที่มีค่ามาลงให่อ่าน คนรวยใช่จะรวยน้ำใจเสมอไป คนจนก็ใช่จะจนใจไปทุกคน

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •