น้ำเต้า (bottle gourd)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lagenaria siceraria Standl.
ชื่อเรียกในท้องถิ่น : คิลูส่า
มะน้ำเต้าเป็นไม้เถา ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจมีความยาวกว่า 10 เมตร ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีมือเกาะที่แยกออกเป็น 2 ทาง ใบมีขนาดใหญ่คล้ายรูปหัวใจ ผิวใบ ขนนุ่มทั้ง 2 ด้าน มีรอยหยักบริเวณใบ 5-9 หยัก ก้านใบยาวประมาณ 20 ซม. รากจะเป็นระบบรากตื้น ในส่วนของผลมีตั้งแต่ ขนาด เล็กจนถึงขนาดใหญ่
“ผลมีเนื้อในสีขาวหรือสีเขียวค่อนข้างจะนุ่ม เปลือกมีสีเขียวเป็นลาย จริง ๆ แล้วน้ำเต้ามีอยู่หลายสายพันธุ์ อาทิ น้ำเต้าพื้นบ้าน น้ำเต้าทรงเซียน ซึ่งเป็นทรงที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ ถ้าเราดูหนังจีนจะเห็นว่ามีน้ำเต้าทรงเซียนที่นักแสดงนำมาประกอบฉาก แต่น้ำเต้าพื้นบ้านเราก็สามารถนำมาตากแห้งเคลือบแล็กเกอร์ทำเป็นเครื่อง ประดับ ก็ได้แต่ไม่ค่อยนิยม กันเท่าไรนัก เนื่องจากผิดกัน ตามรูปทรง ส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานมากกว่า”
แหล่งที่พบน้ำเต้า
จะเห็นว่าน้ำเต้าสามารถปลูกที่ใดก็ได้ที่มี ความอุดมสมบูรณ์ของดินและถ้านำไปปลูกก็จะขึ้นอยู่กับ ผู้ที่ปลูกว่ามีการดูแลรักษามาก น้อยเท่าใด นิยมใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์
การปลูกน้ำเต้า
จะต้องเตรียมดินให้มีการไถพรวน และยกร่องแปลงปลูกกว้างประมาณ 4 เมตร จะนิยมขุดหลุมปลูกให้กว้าง 15-20 เซนติเมตร ลึก 2-3 เซนติเมตร ขุดกลุมห่างกัน 2 เมตร แล้วนำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักมารองก้นหลุม หลังจากนั้นก็หยอดเมล็ดลงในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ ในพื้นที่ปลูก 1 ไร่ จะใช้เมล็ดน้ำเต้าจำนวน 1.5 กิโลกรัม หยอดหลุมละ 2-3 เมล็ด กลบด้วยดินร่วนให้มีความหนาประมาณ 1-2 เซนติเมตร นำฟางข้าวแห้งหรือหญ้าคาคลุมบนหลุมเพื่อรักษาความชื้นในดินให้มากที่สุด หลังจากนั้นรดน้ำให้ชุ่มไปเรื่อย ๆ ประมาณ 7- 10 วัน จนกว่าน้ำเต้าจะงอก หมั่นดูแลหากต้นน้ำเต้าขึ้นมาทั้งหมดให้ถอนทิ้งให้เหลือเพียง 2 ต้นก็พอ เพื่อให้เจริญเติบโตเต็มที่
การดูแลรักษา น้ำเต้าหลังการปลูก
น้ำเต้าเป็นพืชที่มีระบบรากตื้น ต้องการความชื้นปานกลาง หลังจากต้นโตให้รดน้ำประมาณ 3-5 วัน/ครั้ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของ ดินปลูก ว่ามีความแห้งแล้งเพียงใด ถ้าอากาศร้อนมาก ๆ ดินปลูกเริ่มแห้งก้ต้องรดน้ำให้ถี่ขึ้น แต่ต้องคอยดูไม่ให้ดินแฉะมากเกินไป อาจทำให้เกิดโรครากเน่า หลังปลูกไปได้ประมาณ 25-30 วัน หรือเริ่มมีใบจริง 4-5 ใบ จึงเริ่มใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 ในอัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่บริเวณโคนต้น ไม่ควรพรวนดินให้ลึกเกินไป เพราะอาจเกิดความเสียหายต่อระบบรากไปจนถึงต้นเลยทีเดียว
การกำจัดวัชพืช
ควรจะมีการกำจัดวัชพืชให้น้ำเต้า อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในช่วงที่น้ำเต้ายังเล็กอยู่ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะคลุมพื้นที่ปลูกทั้งหมด จะช่วยลดการกำจัดวัชพืชลงได้บ้างบางส่วน
โรคและแมลง
น้ำเต้ามีโรคและแมลงรบกวนค่อนข้างน้อย เนื่องจากใบของน้ำเต้ามีกลิ่นเหม็น แมลงไม่ชอบ มีข้อควรระวังอย่างเดียวคือ เรื่องของการให้น้ำอย่าแฉะเกินไปจนทำให้เกิดโรคราก-โคนเน่า
การเก็บเกี่ยวผล ผลิต
หลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 55-60 วัน ก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต ให้เราเลือกผลที่เหมาะที่จะนำมารับประทานมากที่สุดให้สังเกตในช่วง หลังดอกบาน 6-7 วัน ให้เริ่มทยอยเก็บ จะเก็บในลักษณะวันเว้นวัน ทำเช่นนี้ไปจนหมดผลผลิต
การใช้ประโยชน์ของ น้ำเต้า
ผลน้ำเต้าสามารถนำมารับประทานกับน้ำพริก ผัดกับหมูและไข่ แกงส้ม สรรพคุณทางยา ใบ แก้ตัวร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้เริม เป็นต้น
สรรพคุณของน้ำเต้าและวิธีใช้ ส่วนที่ใช้ประโยชน์ของน้ำเต้าคือ ใบ เปลือก ผล และเนื้อในผล ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกันดังนี้
- เปลือก ต้มน้ำกินแก้ท้องเดินและใช้ล้างแผล
- ผล ผลดิบกินเป็นยาระบายอ่อนๆ มีข้อห้ามไม่ให้กินมาก เพราะอาจท้องเสียได้ นอกจากนี้ในตำรายาไทยใช้ผลน้ำเต้ารักษานิ่วในท่อทางเดินปัสสาวะได้ โดยมีคำแนะนำดังนี้ ให้นำผลน้ำเต้าสดมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกออกแล้วนำไปตำคั้นเอาแต่น้ำให้ได้ 1 แก้ว ผสมน้ำผึ้งลงไป 3 ช้อนชา ให้ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นนะคะ ครั้งละ 1 แก้ว ค่ะ
- เนื้อในผล ขับปัสสาวะ แก้บิด เป็นยาระบาย แก้ไข้ พอกแก้ปวดศรีษะ
- ใบ ตำพอกแก้ปวดศรีษะ ดับพิษ แก้ร้อนใน แก้เริม แก้งูสวัด ถอนพิษ แก้ฟกช้ำบวม แก้พองตามผิวหนัง มีคำแนะนำให้ใช้ใบน้ำเต้าต้มกับน้ำตาล นำน้ำที่ได้มาใช้ดื่มแก้โรคดีซ่านได้
จากนิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 276
สมุนไพรกับการรักษาโรคเริม
คนไทยมีสมุนไพรสำหรับรักษา แผลโรคเริมมากมาย จะใช้พญายอหรือพญาปล้องทอง หรือเสลดพังพอนตัวเมีย ซึ่งทั้ง 3 ชื่อนี้เป็นชื่อของต้นไม้ต้นเดียวกัน ใบน้ำเต้า ใบตำลึง ใบว่านมหากาฬ หรือใบอะไรก็ได้ที่การแพทย์แผนไทยถือว่าเป็นยารสเย็น เอามาตำ เติมเหล้าอะไรก็ได้ เติมพิมเสนสัก 2-3 เกล็ด พอกแผลเริม เท่าที่ผลเคยเห็นมา แผลเริมตกสะเก็ดภายในเวลา 14 ชั่วโมง เร็วกว่ายาฝรั่งมาก สมุนไพร นี้รักษาแผลเริม แต่รักษาโรคเริมไม่ได้เช่นกัน
ข้อมูลจาก http://www.vegetweb.com บทความเกษตร
Bookmarks