สกลกายเบื้องบนแต่ปลายผม เขี้ยวเล็บคมขนหนังทั้งมังสา
ดินน้ำลมไฟประชุมก่อหนอกายา วิปัสสนาเห็นไปในสิ่งเป็น..

ตาหูจมูกลิ้นแลผิวกายภายนอกนั้น เป็นสิ่งอันอาศัยเกิดกำเนิดวิถี
จิตส่งไปเกิดวิญญาณชานฤดี ก็เพราะมีอายตนะอิงสิ่งถึงกัน

อาศัยตา จักขุวิญญาณประสานเกิด สำเนียงเพริศพริ่งเพราะเสนาะหู
เกิดโสตวิญญาณประสานดู ก็ได้รู้ เห็นจริง สิ่งได้ยิน

ลิ้นสัมผัส รับรส รู้หวานขม ได้ชิมชม ชิวหาวิญญาณ์ เสริม
รับรู้กลิ่น ฆานะวิญญาณ์ มาต่อเติม สัมผัสเพิ่ม เติมรับรู้ สู่หัวใจ

กายสัมผัส ร้อนหนาว คราวกระทบ มาบรรจบ กายวิญญาณ ประสานสม
รู้สัมผัส ชัดแจ้งดี ในอารมณ์ ทุกข์ก็ตรมสุขก็คลายสะบายตัว

ตาหูจมูกลิ้นกายวิญญาณประสานสู่ มโมวิญญาณรู้รวมรับซับผัสสา
ลงสู้ใจไหลรวมร่วมมรรคา เป็นธารา รู้อารมณ์ บ่มจิตตน

ลัดเลาะป่า วัฏฏะวน บนเมืองทุกข์ ถึงเมืองสุข สนุกก่อ ตอปัญหา
เมืองนั้นหนอ ผู้เป็นเจ้า อวิชชา ครองมายา เมืองสังขาร วิมาณดิน

แต่งแต้มต่อ ก่อสังขาร สราญสุข วิญญาณลุก รู้เห็น เป็นอาศัย
เพราะสังขาร วิญญาณเกิด กำเนิดภัย หลงอยู่ใน การเกิดดับ มิกลับวาง

วิญญาณล่อง ลอยไป ในนามรูป มีสถูป ทวาร์ฤดี ที่อาศัย
สฬาตนะ ประตูสู้หัวใจ ท่องเที่ยวไป เพราะสังขาร นั้นสั่งมา

เห็นรูปดี ผัสสะต้อง เวทนาสุข ตัณหาคลุกเคล้าไป ใจโหยหา
เฝ้าส่งเสพ หลงไป ในมายา ล้วนฉาบทา อุปาทาน พานมัดตัว

ภพก่อเกิด อุปาทาน พานพายึด ชาติขึงผืด ก่อชรา พาอาสัญย์
มรณา ไม่พ้นภัย ในชีวัน ทุกข์ทั้งนั้น หากพลันเกิด กำเนิดอัตตา

อวิชชาก่อสังขารนั้นเป็นเหตุ เมืองอาเภทเหตุต้นต่อหน่อสังขาร
ไม่หยุดปรุงไม่หยุดสร้างทรมาณ วนเวียนนานเกิดแล้วตายไม่หายวน..