“ยาวิเศษ” ประสบการณ์ขนานเอก...รักษาแผลใจ

หากใครสักคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน จนสามารถกลั่นกรองประสบการณ์ออกมาเรียงร้อยเป็นตัวหนังสือให้เราๆ ได้อ่าน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเชียวล่ะ อย่างน้อย การได้เรียนรู้เส้นทางที่ควรจะเดินไปจากเจ้าของประสบการณ์ตรง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลัดที่ทำให้เราเรียนรู้การใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น


ทั้งหมดนี้ คงเป็นเหตุผลให้ ปิ่นทอง ศาลยาชีวิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนาม บางนา การ์เด้น พร็อพเพอร์ตี้ ยินดีแบ่งปันประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สำหรับเป็นข้อคิดขนานเอก เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เบื้องหลังนามปากกา “เปี่ยมจิตร” ในหนังสือ “ยาวิเศษ” ที่ถูกตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ซึ่งได้ฤกษ์ดีเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันก่อน


ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน ปิ่นทองเล่าว่า ชีวิตของเธอผ่านมาแล้วหลายบทบาท ทั้งชีวิตครอบครัว ธุรกิจการงาน ที่มีทั้งล้มเหลวและประสบความสำเร็จ หลายครั้งเมื่อมีความทุกข์ก็ไม่รู้ว่าจะรักษาเยียวยาจิตใจได้อย่างไร ตรงนี้เธอมองว่าเป็นบทเรียนราคาแพงเล่มหนึ่งที่เธอเองประสบมา จึงเป็นแรงบันดาลใจให้อยากแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้ให้ คนรุ่นหลังได้นำไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง แม้จะช่วยได้เพียงเล็กๆน้อยๆ ซึ่งประสบการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นภูมิคุ้มกันได้ในยามที่เกิดปัญหา ดังเช่นแต่ละบทที่บรรยายไว้


“สำคัญที่สุดคือ คนเราต้องยอมรับกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะถ้าเราไม่ยอมรับ ก็จะผ่านพ้นไปไม่ได้ ซึ่งต้องใช้ความจริงใจที่จะแก้ปัญหานั้นๆ ร่วมด้วย ดังตัวอย่างนกอินทรีย์ที่จ้องมองเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยสติเมื่อต้องบินอยู่ในที่สูง มนุษย์ก็ไม่ต่างกัน เมื่อเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ ก็ต้องนิ่ง ต้องมีสติ ไม่ทำตัวเหมือนนกกระจอก ที่แตกตื่น หวั่นไหวไปกับกระแสต่างๆ อย่างง่ายดาย ก็จะล้มเหลว”


ส่วนเนื้อหาของล่วมยาเล่มนี้ เน้นบรรจุถ้อยภาษาที่มากล้นด้วยสำนวนให้กำลังใจ เปรียบเทียบความหมายของชีวิตกับสิ่งรอบตัวบนโลกใบนี้ ที่ทุกชีวิตต่างมีแง่มุมที่ต้องฟันฝ่า เพียงแต่ว่าเราจะหยิบมาปรับใช้กับตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่น่าสังเกต ยาวิเศษขนานต่างๆ ที่เรียงรายอยู่ในเรื่องราวของ “เปี่ยมจิตร” นั้น

แม้แต่ ความทุกข์ และ ความผิด ก็จัดเป็นยาขนานเอกด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอบอกว่า ท่าทีต่อความทุกข์ยากนั้นไม่สามารถเปลี่ยนที่กับผู้อื่นได้นอกจากตัวเราเอง ขอเพียงมองให้ทะลุสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีความหวังและความชื่นชมยินดีเป็นที่ตั้ง ตราบที่คนเรายังมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และยังมีความหวังในชีวิต ก็ยังไม่หมดหนทาง และคงมีกำลังใจในการฟันฝ่าทุกอุปสรรคไปได้


“ชีวิตคนเราถูกขัดเกลาอยู่ทุกนาที แต่ด้วยกระแสโลกที่หมุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่รู้สึกถึงความสงบ ไม่ได้สังเกตถี่ถ้วนถึงปัญหาน้อยใหญ่ที่ผ่านเข้ามา แต่ทั้งหมดนี้ หากรู้เท่าทันและยกใจให้อยู่เหนือปัญหา เราก็พร้อมที่จะแก้ไขให้ลุล่วงได้”


ไม่ต่างจาก “ความผิด” ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบได้กับอาการป่วย ที่ส่งผลกระทบถึงจิตใจ เหตุที่เราทุกคนต้องรักษาศีลและอยู่ในหลักธรรมอยู่เป็นนิจ เธอย้ำว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยทำความผิด เมื่อรู้ว่าผิดต้องรีบแก้ไข “อย่ารู้ทุกย่างในความผิดบาปของตัวเอง แต่แก้ไขไม่ได้” ขณะเดียวกัน ผู้ที่ถูกกระทำก็ต้องรู้จักให้อภัยในความผิด ซึ่งถือเป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่


นอกจากนี้ ยาวิเศษที่ใช้ชื่อว่า “อิสระทางใจ” ก็เป็นเหมือนบทสรุปให้ทางออกของชีวิตจากประสบการณ์ของเจ้าตัว ที่ตั้งใจถ่ายทอดให้ความหมายของคำว่า

“อิสระทางใจ” กว้างใหญ่ยิ่งนัก ทั้งการให้อภัยและการเป็นอิสระจากความรู้สึกที่มีต่อผู้อื่น ซึ่งแม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องยากในความเข้าใจของคนทั่วไป แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยการฝึกยกใจให้หลุดพ้นออกจากการยึดติดแล้ว ทางสว่างแท้จริงของชีวิตที่เกิดจากอิสระทางใจ ก็คงเปรียบได้เหมือนการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต จนสามารถทำใจยอมรับและพร้อมให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ “อิสระทางใจ เป็นยาวิเศษที่ช่วยทำให้เราหลุดพ้นไปสู่อีกโลกหนึ่งที่งดงามยิ่งกว่า”


ทุกประสบการณ์แบ่งปันกันได้เสมอ เพื่อทุกย่างก้าวที่เลือกเดินจะมุ่งหน้าสู่ปลายทางมากที่สุด


จากผู้จัดการออนไลน์