"พี่ครับ พี่ครับ..."
เสียงหนึ่งสะกิดให้ต้องหยุด
ก่อนที่จะหันกลับไปข้างหลัง
"ผมขอเงินพี่สักสิบบาทได้ไหมครับ...
...เงินผมไม่พอค่ารถครับพี่" ชายไทยร่างสันทัด
อายุราวๆ 25-30 หนาว ในชุดเรียบง่าย
บ่งบอกถึงลักษณะของคนใช้แรงงานได้แบบไม่ต้องเดา...

"อืมม...เดี๋ยวนี้หากินอย่างนี้แล้วเหรอเนี่ย..." ผมคิด
"วันนึงขอได้สักหนึ่งร้อยคน ก็ได้แล้วพันบาท...
ขี้หมูขี้หมาก็สักสี่ซ้าห้าร้อย..." ผมยังไม่หยุดคิด
เงินเพียงสิบบาท เป็นเงินจำนานที่ไม่มากมายนัก
หากต้องหยิบยื่นให้ใครสักคน...

สถานีขนส่งหมอชิตสอง...
เป็นอีกแห่งหนึ่งสถาณที่
ที่รวมเหล่าสาธารณชนคนใช้แรงงาน
เพื่อใช้บริการโดยสารของขนส่งมวลชน
บ้างกลับบ้าน บ้างก็กลับมาจากบ้าน
บ้างก็ประกอบอาชีพ...

"ผมรบกวนเวลาพี่หรือเปล่าครับ..." ชายหนุ่มแสดงความเกรงใจ
"กลับบ้านติครับ...บ้านอยู่ไสหล่ะ" ผมถามกลับด้วยภาษาถิ่น
"อยู่ร้อยเอ็ดครับ...สิกลับบ้าน เงินค่ารถบ่พอ" ชายหนุ่มตอบ

เงินสิบบาท เป็นเงินจำนวนเพียงน้อยนิด
ที่เราสามารถหยิบยื่นให้ใครก็ได้
แม้ว่าเขาอาจจะเดินมาขอเฉยๆ
แต่ก็คงจะมีคนจำนวนไม่น้อย
ที่หยิบยื่นให้อย่างไม่รู้สึกเสียดาย...ผมเองก็เช่นกัน
เพราะถ้าหากมองกลับกันแล้ว
สิบบาทนี้ อาจทำให้เขาสมหวังในบางสิ่ง
เขาอาจจะผิดหวังกับเมืองกรุง
ที่เขาเคยศรัทธาว่า การมาทำงานเสี่ยงโชคที่เมืองกรุง
อาจทำให้สถาณะภาพทางครอบครัวดีขึ้น
อย่างน้อยก็อาจพอส่งให้คนทางบ้านบ้างไม่มากก็น้อย
แต่...อาจจะด้วยหลายๆอย่าง ที่ทำให้หนุ่มบ้านนาคนหนึ่ง
ต้องเปลี่ยนใจกลับบ้าน...
...ทั้งที่ค่ารถไม่พอ

อาจจะมีอีกหลายชีวิตที่รอการกลับมาของเขา
เขาอาจโหยหาความเป็นอยู่ที่ดี ที่มีเงินเป็นตัวกำหนด
ขณะเดียวกัน เขาก็อาจจะโหยหาครอบครัว
โหยหาความอบอุ่นจากคนชิดใกล้ ที่ขณะนี้
อยู่ไกลกันคนละฟาก...
จิตใจเขาอาจบอบช้ำ แรงกายก็อาจจะล้าจนเกินทน
สิ่งเดียวที่เขาคิดถึง
สิ่งเดียวที่จะรักษาอาการบอบช้ำทางใจ
เมื่อไม่มีที่ไป...สิ่งเดียวที่เขาระลึกถึงนั้น
นั่นก็คือ
....บ้าน

เหรียญห้าบาทสองเหรียญ
ในมือของผม ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเขานำเงินที่ได้จากผมเดินเข้าช่องซื้อตั๋ว
เพื่อกลับบ้าน....

"ผมขอโทษอีหลีเด้อครับ ที่เฮ็ดไห่อ้ายเสียเวลา"
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเกรงใจ
"บ่เป็นหยังดอก...โชคดีเด้อ..." ผมกล่าว
ก่อนหันหลังจากกัน
ผมยิ้มกว้างให้เขา เพื่อเป็นของแถมกลับบ้าน
พร้อมกับคำว่า...
...."โชคดีเด้อ..."


4 พฤษภาคม 2551