เพียงคำบางคำ...ก็ช้ำทั้งชีวิต
การพูดของคนเราแต่ละครั้ง สามารถกำหนดวิถีแห่งความคิดและการกระทำได้
เพราะคำพูดเป็นสิ่งที่ได้กลั่นกรองมาจากความรู้สึกภายใน แล้วแสดงออกเป็นถ้อยคำอีกต่อหนึ่ง
การพูดแต่ละครั้งจึงส่งอิทธิพลทั้งต่อผู้พูดและผู้ฟังอย่างน่าประหลาดใจ
แต่ขณะเดียวกัน...บางครั้งคำพูดก็ถูกความปรุงแต่งหลอกใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมอยู่บ่อยๆเช่นกัน
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไตร่ตรองทั้งก่อนที่จะพูดและหลังการพูดผ่านไป
เรื่องของการใช้คำพูดโดยผ่านลมปากซึ่งดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ความเป็นจริงเป็นความยาก
ลำบากยิ่งที่จะเปล่งออกไป แล้วทำให้เกิดผลสะท้อนในทางที่ดีงาม เพราะบางครั้ง คำพูด
ที่หลุดออกมาจากปาก ทำให้คนเสียคนมานักต่อนักแล้ว การใช้วาจาเป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจ
เพราะวาจาเป็นสื่อกลางชนิดที่มักให้ความหมายที่ปลอมหรือเท็จออกมาได้ง่าย ทั้งอย่างจงใจ
และไม่ได้ตั้งใจ มหาอาตมะคานธี มหาบุรุษแห่งอินเดีนกล่าวไว้ว่า
" คนเรามีตาสองตา มีหูสองหู แต่มีลิ้นเพียงลิ้นเดียว
เพราะฉะนั้น ขอให้เราใช้ลิ้นพูดเพียงครึ่งหนึ่งของการใช้ตาดูและหูฟัง "
ดังนั้น คำพูดที่ออกมาจากจึงเป็นความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิต เพราะเราจะเป็นนายของคำพูด
ตราบที่ยังไม่เปล่งออกมา แต่เมื่อเปล่งออกมาแล้ว คำพูกจะเป็นนายของเราทันที เพราะทุกเรื่อง
ที่เกี่ยวกับชีวิต ล้วนไม่อาจใช้เพียงคำพูดบอกเล่าได้ หากแต่ต้องใช้ยิ่งกว่าคำพูด สิ่งนั้นคือ
ใจสู่ใจ...เพื่อให้เข้าไปรู้ถึงความรู้สึกข้างในอย่างแท้จริง
มีเรื่องเล่าให้ฟัง...
มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ฝ่ายชายก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อไปรบในสงคราม
ทั้งสองต่างอาลัยต่อกัน และพร่ำพรรณาในความรักว่าจะรักกันตราบชั่วชีวิต จะซื่อสัตย์ต่อกัน
ด้วยความรักอย่างสุดซึ้งใจมิมีวันเปลี่ยนแปลง
ชายหนุ่มถูกส่งไปร่วมรบในสงครามเป็นเวลา 2 ปีจึงถูกส่งตัวกลับ หลังกลับจากสนามรบ
ฝ่ายชายก็ส่งข่าวแจ้งการกลับบ้านให้ภรรยาทราบ ฝ่ายหญิงสาวเมื่อทราบข่าวการกลับมาของสามี
ก็ให้ดีใจยิ่งนัก
พอถึงวันรับขวัญสามี เธอได้จูงมือเด็ดน้อยผู้เป็นลูกชายไปรับด้วย พอเห็นหน้า ทั้งสองต่างกอดรัด
แสดงความรักต่อกันและกัน จนลืมไปว่ายังมีเด็กน้อยพลางยื่นมือไปหมายจะกอดให้สมกับความคิดถึง
แต่แทนที่หนูน้อยจะเดินเข้าไปในอ้อมกอด กลับแสดงอาการตกใจแทน เพราะตั้งแต่เกิดมา
ยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อที่ป็นทหารเลย แต่ผู้เป็นพ่อก็มิได้ว่าอะไรเด็กน้อยตกไปกว่านั้น
ในขณะที่เดินทางกลับบ้าน ภรรยาขอตัวเข้าไปตลาดเพื่อซื้อข้าวของไปทำอาหารรับขวัญสามีที่จากไปนาน
ชายหนุ่มจึงมีโอกาสที่อยู่กับลูกชาย เขาขออุ้มเจ้าตัวน้อยให้หายคิดถึง แต่เด็กน้อยก็ไม่ยอมให้อุ้ม
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยได้พูดคำที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นในครอบครัวเขา
" น้าไม่ใช่พ่อหนู พ่อหนูมาหาแม่ทุกคืน พอแม่นั่ง พ่อก็จะนั่งด้วย พอแม่ยืนพ่อก็จะยืนด้วย
พ่อจะมาหาแม่ทุกคืนเลย น้าไม่ใช่พ่อของหนู "
เพียงคำไม่กี่คำของเด็กน้อยที่ชายหนุ่มรับฟัง หัวใจของเขาแหลกสลายไปในพริบตา
ความคิดต่างๆเกี่ยวกับภรรยาและเด็กน้อยถาโถมเข้ามาในสำนึกของเขา จนทำให้เขาคิดว่า
สิ่งที่คิดอยู่นั้นเป็นความจริง
ส่วนภรรยาหลังจากกลับมาจากซื้อของในตลาด เธอรู้สึกว่าบางอย่างเปลี่ยนไป เพราะสามี
ไม่เพียงแสดงอาการรังเกียจเธอ แต่ยังมองมาที่เธอด้วยความรู้สึกห่างเหิน และเหยียดหยามจนรู้สึกได้
แต่เธอก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้อยู่ลึกๆ
พอกลับถึงบ้าน เธอบรรจงทำอาหารเพื่อรับขวัญสามีสุดฝีมือ แต่ฝ่ายสามีกลับไม่แยแสในไมตรีจิตรที่เธอมอบให้
อาหารเลิศรสในวันนั้นจึงเป็นอาหารที่จืดสนิทในความรู้สึกของคนทั้งสอง
ตกค่ำ ทั้งสองและลูกน้อยก็เข้านอน ในขณะที่ภรรยามีคำถามในใจว่า "เกิดอะไรขึ้นในขณะที่เธอไปตลาด"
สามีก็คิดว่า "เธอยังเป็นผู้หญิงที่เขารักและบูชาอย่างหมดใจคนเดิมหรือเปล่า"
ต่างคนต่างตั้งคำถามต่อกันและกันในความมืดของค่ำคืน แต่เป็นคำถามที่เต็มไปด้วยความวังเวง สับสน
ไร้ซึ่งการตอบรับของทั้งสองฝ่าย แต่สิ่งหนึ่งทีสัมผัสได้ก็คือความรู้สึกของฝ่ายชายที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
สามีแสดงอาการเย็นชาตั้งแต่วันแรกที่พบเจอจนถึงวันที่สาม ไม่มีการเจรจาถามไถ่ ไม่มีการโอบกอด
เช่นวันแรกที่เจอกัน ไม่มีการร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ไม่มีแม้กระทั่งการปรายตามองกันตามประสาสามีและภรรยา
เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ เธอมีความรู้สึกอึดอัดเกินกว่าจะทนได้ ความอดกลั้นของเธอสิ้นสุดลง
หญิงสาวรู้สึกว่าเธอมีความผิดเสียเต็มประดา จึงตัดสินใจจบชีวิตลงที่แม่น้ำสายหนึ่ง...
ทิ้งปมปัญหาที่ไม่มีใครตอบได้ไว้เบื้องหลังอย่างไม่ใยดี
ข่าวการกระโดดน้ำตายของภรรยาดังมาถึงหูสามีของเธอ ชายหนุ่มต้องน้ำตานองหน้า
เพราะความอาลัยรักในภรรยา เขารับศพภรรยากลับมาบำเพ็ญกุศลตามประเภณีอย่างเงียบๆ
ที่บ้านของตังเอง มีเพียงลูกชายเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขา และคืนนั้นเองความลับทั้งปวงก็ได้รับการคลี่คลาย
ตะเกียงน้ำมันก๊าซที่จุดไว้บนโลงศพส่องประกายให้เกิดเป็นเงา ชายหนุ่รู้สึกสับสนในชีวิต
จึงลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาด้วยความคิดถึงภรรยาผู้จากไป ขณะที่เดินไปมาอยู่นั้นเงาของเขา
ก็ทาบกับฝาเรือน ฝ่ายเจ้าหนูน้อยที่นั่งอยู่ก็พลันทำลายความเงียบด้วยเสียงแห่งความดีใจ
" นั่นไงๆ...พ่อของหนูมาแล้ว พอแม่นั่งพ่อก็จะนั่งด้วย พอแม่ยืนพ่อก็จะยืนด้วย
คนนั้นแหละพ่อของหนู "
ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อมองตามเสียงที่ลูกชายกล่าวถึง ซึ่งก็คือเงาของเขานั่นเอง ความลับที่ติดค้างคาใจ
ได้เปิดเผยในบัดนั้น "พ่อ"ที่ลูกชายกล่าวถึงก็คือ"เงา" ที่ปรากฏอยู่ข้างฝาเรือนนี่เอง ชายหนุ่มคิดต่อไปว่า
หญิงผู้เป็นภรรยาคงรักสามีและลูกของเธอมาก กลัวลูกจะเหงาที่ไม่มีพ่ออยู่ด้วย จึงสมมติเอาเงาเป็นพ่อ
ให้เด็กรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน
ความจริงถูกเปิดเผยกระจ่างแจ้งแก่ชายหนุ่ม แต่เป็นความกระจ่างแจ้งที่เกินจะรับได้...
เขาเข้าใจภรรยาผิดมาตลอด เพียงเพราะฟัง "คำพูด" ของลูกชายตัวน้อย
ที่ไร้เดียงสาเกินกว่าจะถือเป็นเรื่องจริงได้ เขาเข้าใจตามความคิดของตัวเองโดยที่ไม่มีการ
ถามความกระจ่างจากเมียรักแต่อย่างได
สุดท้าย...ชายหนุ่มจึงขอเอาแม่น้ำเป็นพยานรักที่เขามีต่อภรรยาเป็นคำพิพากษาตัวเอง
เขากระโดดน้ำตายตามภรรยาโดยทิ้งลูกน้อยเผชิญชะตาแต่เพียงลำพังผู้เดียว
ชีวิตของคนเราก็ไม่ต่างอะไรจากเรื่องนี้ ที่บางครั้งชอบตัดสินจากสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่ได้รับฟัง
ซึ่งบางครั้งมีนัยยะต่างๆแฝงอยู่ในนั้นมากมาย ยิ่งถ้าขาดปัญญาในการไต่สวนด้วยแล้ว
ย่อมทำให้พลาดจากความจริงที่ควรจะเป็นอย่างน่าเสียดาย...
ฉะนั้น...เมื่อใดที่เราจะพูดหรือรับฟังแต่ละครั้ง พึงระวังไว้อยู่เสมอ ให้รู้จักคิดก่อนจะพูดอะไรออกไป
และใคร่รับฟังด้วยใจที่มีสติก่อนจะปลงใจเชื่อ เพราะผลที่ตามมาโดยการไม่ยั้งคิดนั้นย่อมยากเกินกว่า
ที่จะรั้งกลับคืนมาให้งดงามได้ดังเดิม...
ที่มา : นิตยสารกันเอง (ปตท.สผ.)
Bookmarks