ขออนุญาตพระอาจารย์ว.วชิระเมธีนะเจ้าคะ

ถือก็หนัก วางก็เบา

ปุจฉา
อยากขอคำอธิบายเรื่อง "สัพเพ ธัมมานาลัง อะภิเวสายะ"
ที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่าเป็นคำสอนระดับหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา
น้ำเพชร/กาญจนบุรี


วิสัสชนา
ลองอ่านนิทานปรัชญาต่อไปนี้ บางทีอาจมีคำตอบที่ตรงกับใจของคุณก็เป็นได้
แม้จะเขียนไว้นานแล้ว แต่เมื่อว่าโดยเนื้อหาสาระคิดว่าคงจะพอทำให้มองเห็นแก่นสาระสำคัญของข้อความข้างต้นนั้นได้บ้าง
เคยมีคนไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า โดยขอให้พระองค์สรุปคำสอนของพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆ ทว่าครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพุทธศาสนา
พระองค์ตรัสว่า หากจะให้สรุปเช่นนั้น ก็ขอสรุปว่า ใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า


"สัพเพ ธัมมานาลัง อะภิเวสายะ"

ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น
ทำไมไม่ควรยึดติดถือมั่น
เพราะที่ใดมีความยึดติดถือมั่น ที่นั่นก็จะมีความทุกข์
ความทุกข์ขยายตัวตามความเข้มข้นของการยึดติด
ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์มาก
ยึดน้อย ติดน้อย จึงทุกข์น้อย
ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์
ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า"ความปล่อยวาง"


ทำไมจึงต้องปล่อยวาง
เพราะทุกอย่างมีความว่างมาแต่เดิม
คนที่หลงกอด"ความว่าง"โดยคิดว่าเป็น"ความมี"ทำไมจะไม่ทุกข์

พระบวชใหม่รูปหนึ่งเดินบิฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ
ขณะเดินสำรวมก้มหน้าพอประมาณเพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆนั่นเอง
จู่ๆก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ใส่สูท ผูกเน็คไท ใสเว่นตาดำ เดินเข้ามาหาท่าน
พร้อมทั้งชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย
พระรูปนั้นตกตะลึง รีบเดินหนี
แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว แต่เสียงด่าของเขายังคงก้องอยู่ในโสต
ประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เมื่อกลับถึงวัด พลันก็คิดถึงเหตการณ์ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน พระหนุ่มรู้สึกโกรธ
จนหน้าแดงก่ำ ยิ่งคิดต่อไปว่า ชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตนซึ่งเป็นพระ
และตนเองก็จำได้ว่า ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัยก็ยังไม่เคยทำอะไรผิด
คิดมาถึงขั้นที่ว่าตนไม่ผิด แต่ทำไมต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บยิ่งแค้น
วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์ แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ
เช้าวันจันทร์นั้นพระบวชใหม่ประคองบาตรเดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม
ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม ตั้งใจว่าวันนั้นจะต้องถามให้รู้เรื่อง
ว่าเหตุผลใดจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว



ว่าเหตุผลใดจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
ยิ่งพยายามค้นหากลับยิ่งไม่พบ ท่านจึงเดินสำรวมรับอาหารบิณฑบาตต่อไปจนได้อาหาร
เต็มบาตต่อไปจนได้อาหารเต็มบาตแล้วกลับวัด

ระหว่างเดินทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน พระหนุ่มทอดตาไปพบกับชายคนหนึ่งสวมสูท
ผูกเน็คไท ใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า "อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์"
ภาพที่เห็นก็คือ ชายแต่งตัวดีคนนั้นนอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแห่งหนึ่ง
ข้างๆตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่ พอเห็นท่านเท่านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า
"ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้าฯ บัดนี้พระองค์ทรงกลับมาครองอยุธยาอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ..."
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นรำเฉิบๆ
เช้าวันนี้พระใหม่จ้องมองชายแต่งตัวดีคนนั้นเต็มสองตา แล้วท่านก็สรุปว่า "คนบ้านี่หว่า"
พลันที่ท่านประเมินว่า ชายแต่งตัวดีคนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดี
เท่านั้นเอง ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนอยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวันพลันอันตธานไปอย่างง่ายดาย
ชนิดไร้ร่องรอย
ทำไมเราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน แต่กับคนปรกติทำไมเราจึงมีความรู้สึก
ว่าต้องเอาเรื่องราวให้ถึงที่สุด




วัด.......กันที่ใจ

ธรรมคลายใจ

"ปล่อยแล้วว่าง
วางแล้วเบา
เอาแล้วหนัก"