กำลังแสดงผล 1 ถึง 3 จากทั้งหมด 3

หัวข้อ: "ก่อนจะไม่มีให้กอด"

  1. #1
    ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมหา สัญลักษณ์ของ nuzing
    วันที่สมัคร
    May 2007
    ที่อยู่
    ตกฟากอยู่อุบล เป็นคนชราบางแคแล้ว
    กระทู้
    2,260
    บล็อก
    5

    "ก่อนจะไม่มีให้กอด"

    "ก่อนไม่มีให้กอด" ..เรื่องจริง กระทู้ดีๆ จากห้องราชดำเนินครับ

    "ก่อนไม่มีให้กอด" ..เรื่องจริง(อ่านแล้วแทบร้องไห้)
    เรื่องจริงจาก รร.อัญสัมชัญ แล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ......
    เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร"
    ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก
    รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!
    ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539

    “มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ”
    โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร
    ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
    เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมาย จะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้
    เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ
    เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
    ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
    หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
    อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก
    เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
    หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
    ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย
    แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก
    เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา
    “ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
    กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
    แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา”
    น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
    มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ
    เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว
    หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า
    ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย
    ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
    มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน

    ...................เรื่องราวที่เล่านั้น มีดังต่อไปนี้..............................

    วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...
    >ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
    ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่
    และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน
    ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
    โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน
    ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
    ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
    ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็ กสูงจากคันดินราว 25ซม
    คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
    ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย
    แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
    ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
    และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก
    “ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร”
    มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน
    ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ “ลูกชาย” ของคุณแม่ท่านนั้น
    “ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย
    แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร”
    คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย
    ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...
    ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที
    แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...
    แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!
    คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
    ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่...
    ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
    จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด
    ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
    มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...
    คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน
    พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
    คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
    สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที
    ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
    > >
    >ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือน
    จึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
    มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า
    “นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ”
    “กล้าหาญมาก” เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
    หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า
    มิสมองหน้า “ลูกชาย” ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า
    “นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
    ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ”
    เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง
    “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม
    และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา”
    “จริงครับๆ ใช่ครับๆ” เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน
    “มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหน
    คนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ”
    มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
    มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า
    “ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ”
    เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
    ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
    หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?
    เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
    ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
    ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด

    หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ
    ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
    เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เ รียกตัว “ลูกชาย” เข้าไปคุยอีกครั้ง
    “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ”
    เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
    “ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่
    ที่สุดในโลกเลยครับ”
    รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
    บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย
    กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย
    .............................ก่อนไม่มีแม่ให้กอด................................

    ขอบคุณ http://www.pantip.com/cafe/isolate/t.../M7427801.html
    "ใจประสงค์สร้างกลางดงกะหว่าถ่ง ใจขี้คร้านกลางบ้านกะหว่าดง"

  2. #2
    Super Moderator สัญลักษณ์ของ ไก่น้อย
    วันที่สมัคร
    Aug 2006
    ที่อยู่
    นครโคราช
    กระทู้
    4,928
    บล็อก
    8

    Re: "ก่อนจะไม่มีให้กอด"

    นี้หละเพิ่นว่า สุดยอดแม่พิมพ์ของชาติเนาะ ยาย ...... เป็นกำลังใจให้แม่พิมพ์คนโพสต์นำเด้อจ้า ..
    กระเบื้องจะฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม เมฆจะหล่นฟ้าปลาจะกินดาว ลาวจะครองเมือง ::)

  3. #3
    ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมหา สัญลักษณ์ของ sompoi
    วันที่สมัคร
    Mar 2007
    ที่อยู่
    japan
    กระทู้
    5,708
    บล็อก
    23

    Re: "ก่อนจะไม่มีให้กอด"

    ตั้งแต่ไหน แต่ไร เพิ่นกะว่าครูกะเปรียบดั่ง พ่อ แม่ คนที่สองของลูกศิษย์เนาะค่ะ..กะสมควรดั่งว่าอ่ะละเนาะยายเนาะ.. :g
    มองต่าง..อย่างปลง

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •