ปัญญาประภาคาร - คิดเป็นก็เห็นธรรม

อะไรเอ่ย...อยู่กับมัน แต่ไม่เห็นมัน?




เคยได้ยินเรื่องราวของชาวสวนคนหนึ่ง เขาปลูกทุเรียน คืนหนึ่ง พายุใหญ่พัดสวนทุเรียนล้มทั้งสวน
เช้าวันนั้น เจ้าของสวนเข้าโรงพยาบาล สามเดือนผ่านไปลูกๆ ฟื้นสวนทุเรียนได้ เจ้าของสวนลุกไม่ขึ้น เพราะอะไร ล้มครั้งนั้นแล้วเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ เลยป่วยทั้งกายทั้งใจ
สวนทุเรียนล้ม สภาพจิตใจล้มเหลวตามไปด้วย
ทำไม ก็เพราะว่า เขาประเมินค่าของสวนทุเรียนนั้นว่า คือ ชีวิตจิตใจของเขาเอง แต่คนข้างบ้านเห็นต้นทุเรียนล้ม เขาไม่ทุกข์เลย ไม่เป็นอะไร เพราะอะไร เขาเฉยๆ
เพราะฉะนั้น ความทุกข์ในชีวิตเราคงขึ้นอยู่กับการประเมินค่า ใครเป็นคนประเมินค่า ก็เจ้าตัวความคิดในหัวของเรานี้เอง พูดอีกอย่างหนึ่งได้ก็คือ ตัวจิตของเรานี่แหละ อันนี้คือความสำคัญของความคิด ดูต่อไปว่า คนทั่วไปคิดกันอย่างไร
เราท่านทั้งหลายนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ ๑,๐๐๐ กว่าคน คิดเหมือนกันไหม ไม่เหมือนหรอก บางคนอยู่มาจนถึงป่านนี้ อาจจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่า คิดอย่างไร เราอยู่กับบางสิ่งบางอย่างมาทั้งชีวิต แต่บางทีเราไม่รู้จักมัน
ตอนอาตมาภาพเป็นเณรน้อย อยู่ต่างจังหวัด เส้นเสียงอักเสบ เพราะสอนหนังสือมาก วันหนึ่งไปรักษาเส้นเสียงอักเสบที่โรงพยาบาล พยาบาลบอกให้หายใจ หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ ก็ไปฝึกหายใจกับพยาบาล
มีอยู่วันหนึ่ง พยาบาลก็บอก เณร เณรหายใจไม่เป็นนะ เราโกรธเลย อยู่มาตั้ง ๑๗ ปี หายใจไม่เป็น มันจะอยู่เป็นผู้เป็นคนมาได้ยังไง
พยาบาลก็บอก ถ้าหายใจเป็น ต้องหายใจจากกะบังลม หายใจจากท้อง ไม่ใช่หายใจที่ต้นคอ นี่เพราะหายใจไม่เป็น เวลาพูดถึงต้องตะเบ็งเสียงตลอดเวลา คนหายใจเป็น เขาไม่เหนื่อยเวลาพูด พยาบาลสอนให้หายใจก็ยังไม่เข้าใจ โกรธด้วยซ้ำไป ถือดียังไงมาสอนฉัน หาว่าฉันหายใจไม่เป็น
แล้ววันหนึ่ง จะว่าเป็นเคราะห์กรรม หรือเป็นโชคดีก็ได้ พัดพาให้ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมอยู่ที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เขาเอาไปปล่อยเกาะ ห้ามเยี่ยมห้ามประกันสองเดือนเต็ม
เราก็ไปรู้จักการหายใจเป็นอยู่ที่นั่น ยุบหนอพองหนอ ซึ่งเรามองว่า เป็นคำเล่นๆ พอหายใจเป็น เราเห็นว่า นี่คือคำศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม (พระธรรมสิงหบุราจารย์) เจ้าอาวาส ท่านบอกว่า หนอละล้านเชียวนะ เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เพราะท่านทำอย่างนี้
พอไปฝึกสติปัฏฐานเป็นเท่านั้นเอง นึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงโยมพ่อโยมแม่ อยากกลับไปกราบแทบเท้าเจ้าอาวาสแล้ว กราบที่อื่นก็ไม่สาแก่ใจ
เพราะอะไร เพราะว่าตอนที่ท่านสอนเรา เราไม่ซึ้ง มันจะซึ้งได้ยังไง สามเณรกำลังกินกำลังนอน ปลุกตื่นแต่ตีสี่ เดินจงกรมบนสนามหญ้า ทั้งๆ ที่เดินมันก็หลับไปในตัว เดินไปหลับไป
มีอยู่วันหนึ่ง หลับในทั้งๆ ที่เดินจงกรม หลวงพ่อเจ้าอาวาสยืนขวางอยู่ เดินไปชนหลังท่าน ก็ดูเถิด มนุษย์น่ะ ถ้าตั้งใจทำ มันจะทำได้ตั้งแต่เป็นเณรแล้วนะ ปล่อยให้ยืดเยื้อเรื้อรังมาจนอีกหลายปี กว่าจะหายใจเป็น
พอหายใจเป็น ซึ้งมาก อยากจะร้องไห้ ไม่ใช่ร้องที่ริมขอบตา ร้องมาจากข้างในจากศูนย์กลางกายเลย จากก้นบึ้ง
พอเราไปหายใจเป็นที่นั่น เมื่อมาเรียนปริญญาโท ก็ไปฝึกอีก เขาเอาไปปล่อยเกาะอีกหนึ่งเดือน ที่ดงพญาเย็นโน่น ที่ที่ทหารฝรั่งตายกันมากมาย ใกล้ๆ ทางรถไฟสายมรณะ ใกล้ๆ คลังแสงของทหาร ที่เพิ่งระเบิดไปไม่นาน
เมื่อฝึกแล้ว เราก็เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งค้างคาอยู่ในใจ รวมทั้งได้เข้าใจความคิดของตัวเองด้วย
เมื่อเข้าใจตัวเอง ก็เข้าใจคนอื่น เมื่อเข้าใจคนอื่น ก็เข้าใจคนทั้งโลก
เหมือนเราไปตักน้ำเค็มจากทะเลมาหยดเดียว ดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง น้ำทะเลที่พัทยามันเค็ม จากนั้นไปดื่มน้ำทะเลทั่วโลก ไม่สงสัยเลย เค็มเหมือนกันหมด
รู้จักน้ำทะเลหยดเดียว เข้าใจน้ำทะเลทั่วโลก เห็นธรรมภายในใจของตัวเองครั้งเดียว เข้าใจมนุษยชาติทุกรูปทุกนาม


--
สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ