เรื่องเล่าในห้องเรียน ตอนนิตยา สาวน้อยผู้อาภัพ



.....เรื่องเล่าในห้องเรียนเรื่องที่ 7 คือเรื่อง นิตยา สาวน้อยที่อาภัพ

.....นิตยา สาวน้อยที่เริ่มเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นนักเรียนที่ย้ายมาเข้าใหม่ หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง แต่ในความน่ารักก็คือไม่มีความแจ่มใสเลย มีอาการเหม่อลอยบางครั้ง นั่งเงียบไม่ค่อยพูดกับเพื่อนในห้องเรียน จะพยายามนั่งหลังห้องเรียนเป็นประจำ เหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง เวลาจัดกลุ่มเรียนก็แล้วแต่เพื่อนจะจัดให้ลงร่วมกลุ่ม แต่ก็ร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนพูดคุยกับเพื่อนในบางครั้ง จนเป็นทีสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น ถามเพื่อนถึงสาเหตุของความไม่สดใสตามวัยก็ไม่มีใครทราบ เพราะเพิ่งย้ายมา แต่ก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้เพื่อน ร่วมมือดีแต่ไม่พูด เพื่อนจะสนุกสนานอย่างไร นิตยาก็ไม่ยิ้มหัวกับเพื่อน แต่ก็น่าจะเรียนได้ดี เพราะมีแนวคิดดีๆให้กับเพื่อนในบางครั้งที่พูดขึ้นมาเพื่อนจะต้องยอมรับในความสามารถของนิตยา ข้าพเจ้าสังเกตเห็นสิ่งปกติเหล่านี้

.....อดรนทนไม่ได้ จังไปถามเจ้าของรถรับส่งโดยสารประจำหมู่บ้าน โดยซื้อน้ำไป 2 แก้ว แบ่งให้โชเฟอร์เจ้าของรถหนึ่งแก้ว เพื่อสร้างมิตรภาพไว้ก่อน เสร็จแล้วก็ถามโน่นถามนี่ไปเรื่อยๆ ก็เลยทราบปัญหาของนิตยา จากปากของโชเฟอร์รถ ดังนี้
“ครูครับพ่อแม่ของนิตยาเขาเป็นเอดส์ตายหมดแล้วครับ พ่อเขาไปลงเรือ กลับมาเอาเอดส์มาติดแม่ด้วย เวลานี้ตายทั้งพ่อและแม่ นิตยาเองอยู่กับพ่อใหญ่แม่ใหญ่เขาครับ” ข้าพเจ้าก็เลยถามสภาพความเป็นอยู่ของนิตยาจากพี่โชเฟอร์รถไปด้วย
“ครูครับ นิตยาเขาไม่กล้าออกจากบ้านเขาดอกครับ คนในหมู่บ้านเขารังเกียจว่าพ่อแม่เป็นเอดส์ครับ แต่ผมเข้าใจนะครับว่ามันไม่ได้ติดกันง่ายๆ แต่คนในหมู่บ้านไม่เข้าใจดอกครับคุณครู”

.....คำตอบของพี่โชเฟอร์ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นสภาพความเป็นอยู่ของนิตยา ข้าพเจ้าคิดและตัดสินใจที่จะต้องทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะทำให้สาวน้อยนิตยาผู้อาภัพของเราเลิกอาภัพ หันมาสดใส ไม่อยู่ในสภาวะกดดัน มีความสุขตามวัยอันควรเสียที

.....ข้าพเจ้าใช้เวลาในวันหยุดซื้อข้าวปุ้นซาว (มีเฉพาะภาคอีสานเรา) ไปห้าชุดใหญ่ พร้อมข้าวเหนียว ตำส้ม ปิ้งไก่ ไปเยี่ยมพ่อใหญ่และแม่ใหญ่ของนิตยา โดยชวนเพื่อนของนิตยาไปด้วยกันหลายคน เมื่อถึงบ้านนิตยาพบว่าก็ไม่ยากจนเพียงใดนัก เพราะตอนพ่อของนิตยากลับมาจากลงเรือจับปลา ได้เงินมาเยอะ ก่อนจะตายซื้อที่นาไว้หลายผืน ครูได้ความรู้ว่าคนในหมู่บ้านจะรังเกียจนิตยาว่ามีพ่อแม่เป็นเอดส์ ลูกก็คงเป็นเอดส์ไปด้วย เวลาเที่ยงเป็นเวลากินอาหารกลางวัน ข้าพเจ้าแสร้งบอกว่าอาหารเยอะแยะทานไม่หมดเรียกเพื่อนบ้านโดยรอบของนิตยามาร่วมกินอาหารกลางวันด้วยกัน ชาวบ้านแถวนั้นไม่กล้าขัดครู ก็เลยมาทานร่วมกันไปคุยกันไป ครูก็ค่อยๆ อธิบายว่าโรคเอดส์ไม่ใช่กรรมพันธุ์ และนิตยาก็ไม่ได้เป็นเอดส์ด้วยนี่ ไม่เห็นหรือครูยังไม่กลัวเลย ชาวบ้านก็ได้แต่พยักหน้า แต่ไม่รู้จะเชื่อหรือเปล่า

......อาทิตย์ต่อมาข้าพเจ้าก็หอบของกินไปเยี่ยมนิตยาอีก คราวนี้ใช้วิธีตะโกนเรียกเพื่อนบ้านเอา ก็ปรากฏว่าทุกคนมาพร้อมหน้า ร่วมกินอาหารกันอย่างครึกครื้นขึ้น ครูก็แจกเอกสารแผ่นพับที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ (ที่ขอจากโรงพยาบาลมา) นำมาแจกชาวบ้านให้อ่าน

.....สัปดาห์ที่สามก็ทำเช่นเดิม แต่คราวนี้ไปถึงทุกคนมาเอง มาพร้อมเสียงทักทายหัวเราะ และพูดจาเย้าหยอกนิตยา จัดหาถ้วยชามในบ้านมาสู่กันกินแบบญาติมิตรสหาย ใบหน้าของนิตยาได้สดใสมีความสุขเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

..... หลังจากนั้น ในวันที่มีรถโดยสารที่บ้านนิตยามาจอดรับผู้โดยสาร ข้าพเจ้าก็จะซื้อน้ำไปให้โชเฟอร์หนึ่งแก้ว พูดคุยกันและทราบว่านิตยาสามารถพูดคุยกับคนทั่วไปในหมู่บ้านได้แล้ว ข้าพเจ้าค่อยโล่งอก สังเกตเห็นนิตยามีอาการดีขึ้นมาก ไม่เศร้าสร้อยอยู่มุมห้องเหมือนเก่า กล้าแสดงความคิดเห็นกับเพื่อน อาการปกติของคนปกติกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

.....นิตยาได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคามในคณะสาธารณสุขศาสตร์ โดยขอทุนจาก อบต. ตำบลที่นิตยาอยู่ เป็นนิตยาผู้สดใสเข้ามากอดครูหลังจากที่ทราบผลการสอบและผลของการขอทุนทางการศึกษาจากองค์การบริหารส่วนตำบลนั้น ข้าพเจ้าดีใจมากที่เปลี่ยนจากนิตยาผู้อาภัพ ให้กลายเป็นผู้ไม่อาภัพอีกต่อไป ในอนาคตก็คงเรียนจบมหาวิทยาลัย เพื่อกลับมาทำงานให้ อบต. ที่ให้ทุนไป และกลับมาทำประโยชน์ให้กับหมู่บ้านของตัวเอง โดยลืมเรื่องราวที่ไม่สดใสในอดีตให้หมดไป

จบเรื่อง นิตยา สาวน้อยผู้อาภัพ