สำหรับคำนำหน้านามของ“หญิง”นั้นถูกเรียกร้องให้มีการแก้ไขให้เท่าเทียมฝ่ายชายจากบรรดาหญิงไทยฝ่ายก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า15ปีการเรียกร้องนั้นได้รับการขานรับจากหลายพรรคการเมืองกระทั่งมีการจัดทำเป็นร่างกฎหมายเสนอเข้าบรรจุอยู่ในวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรมาหลายยุคหลายสมัยแต่ก็ได้แค่บรรจุไว้เท่านั้นโดยไม่สามารถฝ่าวาระกฎหมายอื่นๆที่ขอเลื่อนแซงขึ้นมาก่อนหรือไม่ก็สภามีอันสิ้นสุดลงไปก่อนทุกครั้ง
ครั้นมาถึงยุคของ“สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”ชุดนี้ได้มีกลุ่ม“ชายแปลงเพศเป็นหญิง”มาเรียกร้องต่อ“คณะกรรมาธิการกิจการเด็กเยาวชนสตรีผู้สูงอายุผู้พิการและความมั่นคงของมนุษย์”ที่ผมทำหน้าที่เป็นประธานอยู่ขอให้ช่วยแก้ไขกฎหมายให้“ชายแปลงเพศ”นั้นสามารถใช้คำนำหน้านามได้เหมือนหญิงทั่วไปคณะกรรมาธิการฯจึงได้มอบหมายให้“คณะอนุกรรมาธิการด้านสตรี”ที่ดร.จุรีวิจิตรวาทการเป็นประธานนำไปหารือและยกร่างเป็นกฎหมายเสนอต่อคณะกรรมาธิการฯและสภาต่อไป
ในที่สุดกฎหมายได้ยกร่างเสร็จเรียบร้อยครอบคลุมประเด็นสำคัญสองประเด็นคือ
หนึ่ง...เปิดโอกาสให้หญิงที่แต่งงานที่หย่าร้างสามารถเลือกกลับมาใช้“นางสาว”หรือจะ“นาง”เช่นเดิมก็ได้
สอง...เปิดโอกาสให้“ชายหรือหญิงที่แปลงเพศ”เป็นอีกเพศหนึ่งโดยสมบูรณ์ใช้คำนำหน้านามได้เช่นเดียวกับบุคคลเพศนั้นๆ
เมื่อได้นำกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภากฎหมายฉบับนี้ได้รับการวิจารณ์อย่างมากถึงปัญหาหลายๆประการที่จะตามมาโดยเฉพาะในกรณีของ“ชายหรือหญิงที่จะแปลงเพศ”เมื่อมีการทักท้วงอย่างมากที่ประชุมจึงมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการฯขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อศึกษาโดยละเอียดแล้วนำเสนอเข้าสู่สภาอีกครั้ง
ผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯครั้งนี้สรุปได้ว่าสังคมไทยยังไม่มีความพร้อมและความเข้าใจเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไปของกฎหมายจึงสรุปให้เหลือเพียงประเด็นเดียวคือในส่วนคำนำหน้าของ“หญิง”เท่านั้นซึ่งสภาก็รับหลักการและตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณารายละเอียดกระทั่งได้เข้าสู่การพิจารณาในวาระสองและสามของสภาในค่ำคืนวันศุกร์ที่21ธันวาคมที่ผ่านมาผลสรุปภายหลังการถกเถียงที่ยาวนานกว่าชั่วโมงก็คือสภามีมติให้ประกาศเป็นกฎหมายด้วยเสียงที่ท่วมท้นพอสมควรโดยกฎหมายฉบับนี้มีเนื้อหาสำคัญคือ
ให้หญิงที่มีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ขึ้นไปสามารถเลือกใช้คำว่า“นาง”หรือ“นางสาว”ได้ด้วยการแจ้งขอเปลี่ยนจากนายทะเบียนฯ
ถามว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อใดคำตอบอยู่ที่สองขั้นตอนสำคัญที่ต่อเนื่องกันไปคือ
1.เมื่อกฎหมายได้รับพระมหากรุณาธิคุณทรงลงพระปรมาภิไธยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2.หลังจากผ่านข้อที่1แล้วต้องรออีก120วันเพื่อให้ส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องได้มีเวลาตระเตรียมรายละเอียดในส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องต่อไป
ครับ...หญิงใดประสงค์เช่นใดเตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆนะครับด้วยความยินดี.
นสพ.เดลินิวส์
Bookmarks