ลมหนาวแรกของปีนี้พัดมาแล้ว พร้อมกับต้นข้าวในนากำลังออกรวง ฝนไม่
ตกมาเกือบ 1 เดือนแล้วน้ำในแปลงนาก็เริ่มแห้งขอด ดอกไม้สีม่วงที่ฉันไม่รู้จักชื่อเริ่มบาน
ตามคันนา ดอกหญ้าเล็ก ๆ บานเหมือนสาวรุ่นวัยสดใส สายลมที่พัดมาทักทายยังไม่หนาว
เหน็บเท่าที่ควร แต่คงอีกไม่นานจะทวีความหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่
ออกรวงก่อน เปลี่ยนเป็นสีทองแล้ว แม่บอกว่าพรุ่งนี้จะเริ่มลงมือเกี่ยวกัน กี่ปีแล้วนะที่มือ
ฉันไม่ได้จับเคียว 10 กว่าปีที่ฉันจากบ้านจากท้องนา แต่ฉันไม่เคยลืม วันนี้ฉันกลับบ้าน
กลับมาท้องนาอีกครั้งมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป และยังคงเดิม พ่อแม่ยังมีอาชีพทำนา เลี้ยงหมู
ขุนเหมือนเดิม ต้นมะขามข้างโรงเลี้ยงหมูต้นใหญ่ขึ้น แต่รสชาติยังเปรี้ยวเข็ดฟันเหมือน
เดิม กล้วยน้ำหว้าที่ฉันกับน้องชายช่วยกันปลูก (ตามคำสั่งการของแม่) เพียงไม่กี่ต้นรอบ
ๆ โรงเลี้ยงหมูวันนี้กลายเป็นดงกล้วยน้ำว้า และสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยรู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงคือ
ความอบอุ่น ความมีน้ำใจของญาติ ๆ ที่ไม่เคยจางหาย ในสังคมชนบทหมู่บ้านเล็ก ๆ ของ
ฉันน้ำใจหาได้ไม่ยาก ต่อให้ไม่มีเงินเลยก็อยู่ได้เพราะน้ำใจ ฉันไม่เคยคิดว่าหมู่บ้านฉัน
เป็นสังคมในอุดมคติ แต่เมื่อฉันไปสัมผัสชีวิตภายนอก ทำให้ฉันรักที่นี่ขึ้นมาจับใจ มีคน
บอกฉันว่า อยู่ไหนไม่สุขใจเท่าบ้านเรา ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง คนเราเมื่อเกิดปัญหา เมื่อ
รู้สึกอ่อนแอ จะคิดถึงบ้าน แต่สำหรับฉันแม้ไม่เกิดปัญหา ในยามสุข ทุกข์ ฉันคิดถึงเสมอ
เพราะความรู้สึกคิดถึงบ้าน ทำให้ฉันรู้สึกอิ่มในใจทุกครั้ง เปลญวนที่แขวนอยู่ใต้ถุนโรงนา
ยังอยู่ที่เดิม น้องชายบอกว่าเปลี่ยนมา 3 อันแล้วแต่พ่อยังให้แขวนไว้ที่เดิม ทำให้ฉันคิด
ว่าพ่อคงคิดถึงฉัน เมื่อฉันไม่อยู่บ้าน เพราะตรงนี้ฉันชอบมานอนอ่านหนังสือเป็นประจำ
เลยไม่อยากให้แขวนเปลไว้ที่อื่น จะให้พ่อพูดว่าคิดถึงฉันออกมา คงต้องรอชาติหน้า
ตอนพลบค่ำเลยกระมัง... แต่ฉันไม่เดือดร้อนถึงพ่อไม่บอกฉันก็มั่นใจว่าพ่อคิดถึงฉันแน่
นอน แม่อีกคนเวลาที่ฉันโทรศัพท์กลับบ้าน จะบ่นว่าค่าโทรศัพท์แพงไม่ต้องโทรมาบ่อย
เขาสบายดี น้องชายแอบมากระซิบว่าคนที่รอโทรศัพท์ฉันกว่าใคร ๆ ในบ้าน คือแม่ คนที่
บ่นว่าฉันกินอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน แต่คนที่ทำอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้านให้ฉันกินอย่าง
สุดฝีมือคือแม่ เห็นไหมว่าบ้านคือสวรรค์บนดินที่เราสัมผัสได้ อีกไม่กี่วันฉันต้องจากบ้าน
อีกแล้ว จากทุ่งข้าวสีทอง จากดอกไม้สีม่วง จากเปลใต้ถุนโรงนาจากพ่อ แม่ น้องชาย
ครั้งที่เท่าไรแล้วที่ฉันต้องจากบ้าน ครั้งแรกต้องจากไปเพื่อเรียนหนังสือ ความรู้สึกในเวลา
นั้นอ้างว้าง โดดเดี่ยว สุดท้ายน้ำตาไหล พาลให้ไม่อยากไปไหน นั่นเป็นความรู้สึกของ
เด็ก มาวันนี้ฉันจากบ้านด้วยความรู้สึกอิ่มเอม เหมือนได้มาเติมแบตเตอร์รี่ให้กับตัวเองไม่มี
ความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวเช่นเคย หญิงเดี่ยวอย่างฉันไม่ต้องการสิ่งใดที่มากไปกว่านี้
แล้ว มีบ้านให้กลับ มีงานที่รักให้ทำ บางครั้งก็แอบหวังว่าจะมีคนให้ฉันเอาใจใส่เพิ่มอีกสักคน
ขอบคุณเอื้อย อ้าย บ้านมหาที่สละเวลาอ่านจบ ขอบคุณค่ะ
Bookmarks