กำลังแสดงผล 1 ถึง 10 จากทั้งหมด 14

หัวข้อ: หนึ่งเดือนในป่าพง

Hybrid View

คำตอบที่แล้วมา คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป คำตอบถัดไป
  1. #1
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ jobloi
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    กระทู้
    182

    หนึ่งเดือนในป่าพง

    หนึ่งเดือนในป่าพง
    หนึ่งเืดือนในป่าพงนี้ เป็นหนังสือธรรมะที่
    หลวงพ่อพระมงคลกิตติธาดา (อมร เขมจิตฺโต) ป.ธ.6 เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์
    ท่านได้เขียนขึ้น ครั้งเมื่อได้ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา สุภัทโท ขอเชิญท่าน
    ผู้สนใจศึกษาธรรมจากประวัติครูบาอาจารย์ เชิญสดับได้แล้วครับ

    หนึ่งเดือนในป่าพง
    ลิงค์สำหรับโหลดไฟล์หนึ่งเดือนในป่าพง(DOC)
    http://www.uploadtoday.com/download/?223778&A=193855
    ให้แก้ชื่อไฟล์เป็นหยังกะได้ละเปิดใน Word ครับ

    หนึ่งเดือนในป่าพง
    หลวงพ่อชาถ่ายภาพกับหลวงพ่ออมร และลูกศิษย์

    พระกรรมฐานมีดีอะไร
    สมัยเมื่อข้าพเจ้าเป็นครูสอนปริยัติธรรมอยู่ เมื่อพักจากการสอนแล้ว บางวันตอนเย็นๆ ก็นึกถึงพระที่ท่านอยู่ป่า เกิดความสงสัยว่า “พระกรรมฐาน ท่านมีอะไรดีหรือ ทั้งๆ ที่ท่านไม่ค่อยได้ศึกษาปริยัติธรรม ท่านชอบอาศัยอยู่ในป่า ก็ยังมีญาติโยมอุตส่าห์เดินทางไปหาเป็นจำนวนมาก เขาพากันไปด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ท่านคงมีอะไรดีอยู่กระมัง”
    ความสงสัยนี้ มันเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก ข้าพเจ้ายังหาคำตอบไม่ได้ นับเป็นเวลาหลายปี บางทีความสงสัยชนิดนี้ อาจจะเกิดขึ้นแก่เพื่อนมนุษย์ผู้ยังไม่เคยเข้าไปสัมผัสอีกเป็นจำนวนมาก ท่านมีผู้อ่านหาคำตอบที่ถูกต้องได้แล้วหรือยังเล่า
    ดูเหมือนยังมีบรรพชิต ผู้เป็นนักแสดงธรรม ยังพูดแรงไปกว่านั้นอีกว่า “พระกรรมฐานจะมีดีอะไร มัวแต่นั่งหลับตาอยู่ในป่าไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมะจะไปรู้อะไร ดูแต่อาตมาสิ...ขนาดเปิดพระไตรปิฎกอ่านอยู่ทุกวันก็ยังลืมเลย...”
    ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย กับคำพูดของท่านรูปนั้น มันเป็นการหมิ่นเหม่ต่ออันตราย ดูจะเป็นการประมาทต่อการปฏิบัติธรรมของเหล่าพระอริยสาวกไป ข้าพเจ้าคิดว่า “อาหารใด ที่เรายังไม่ได้ลิ้มชิมรส เราจะไปปฏิเสธว่าอาหารนั้นไม่ดี ไม่มีประโยชน์ เหมือนกับอาหารที่เราได้รับประทานอยู่เป็นประจำ หาเป็นการสมควรไม่...”
    บางครั้งเคยนึกถึงคำขอบรรพชา ที่เคยกล่าวต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ ก่อนที่ท่านจะให้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งพอจะแปลได้ว่า “ท่านขอรับ กรุณาบวชให้กระผมด้วย เพื่อกระผมจะได้ทำการสลัดออกจากความทุกข์ทั้งมวล และเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน...” จึงได้ปรารภกับตนเองว่า “เอ...นี่...เราจะเอายังไงดี บวชมาก็หลายปี จะไม่เป็นการโกหกตัวเอง โกหดพระอุปัชฌาย์ไปหรือ...”
    ดังนั้นเมื่อถึงหน้าแล้ง ปี พ.ศ.๒๕๑๐ ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปอบรมวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่วัดปรินายก และวัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ รู้สึกว่าได้รับหลักการปฏิบัติ จากครูบาอาจารย์ซึ่งมี หลวงพ่อเจ้าคุณพระเทพสิทธิมุนี* เป็นประธาน โดยได้รับความเมตตาจากท่านเป็นอย่างดี และก็ได้ตั้งใจไว้ว่า เรามีที่พักผ่อนทางจิตใจในยามว่างจากการสอนแห่งหนึ่งแล้ว หน้าแล้งจะมาปฏิบัติอีก
    แต่ก็ยังมีอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเราเคยตั้งใจไว้ว่า จะเข้าไปศึกษาหาประสบการณ์ ที่นั่นคือ วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ไม่ไกลไปมาพอสะดวก ได้ทราบว่าเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในป่า ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาก เราควรจะเข้าไปทดลองดู
    เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๑๑ ข้าพเจ้าจึงออกเดินทาง มุ่งสู่หนองป่าพง ความจริงแล้วข้าพเจ้ายังมิได้ตั้งใจว่าจะไปอยู่ที่นั่นแน่นอน เป็นเพียงจะไปทดลองดูเพราะยังไม่แน่ใจเลยว่าอาหารที่นั่น จะมีรสถูกปากถูกใจเราหรือเปล่า เรายังไม่เคยชิมดู
    เมื่อเดินทางมาถึงประตูหน้าวัดเวลาประมาณ ๕ โมงเย็น พอจะย่างเข้าสู่เขตวัดก็เจอป้ายแผ่นใหญ่ เขียนไว้ว่า แดนเคารพ พุทธศาสนิกชน ทุกเพศ ทุกชั้น เพื่อหายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ และเรียงลำดับเป็นข้อๆ ลงไป จากข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๙ ซึ่งท่านผู้เคยไปเยี่ยมวัดหนองป่าพง คงได้อ่านกันมาแล้ว...เมื่ออ่านป้ายจบแล้ว ก่อนจะก้าวเข้าเขตวัด คิดไว้ว่าพระวัดป่าท่านถือวินัยเคร่ง ท่านไม่รับเงินทอง ไม่เก็บไว้เป็นของส่วนตน เรามีติดย่ามมาด้วย จะทำอย่างไรดี จึงตัดสินใจว่า “เอาไว้ในย่ามไม่เหมาะ เพราะเราใช้ย่ามทุกวัน ไปปะปนกับท่านดูไม่เหมาะ สู้เก็บไว้ในกระเป๋าดีกว่า”
    ข้าพเจ้าจึงบอกสามเณรที่ถือกระเป๋ามาส่ง ให้วางการะเป๋าลง แล้วจึงหยิบซองปัจจัย ๔-๕ ซอง ออกจากย่าม ไขกุญแจเปิดกระเป๋าเอาซุกลงไว้ก้นกระเป๋า รูดซิปล็อคกุญแจเรียบร้อยแล้ว เดินเข้าวัดไป ได้รับความแปลกตาแปลกใจ เห็นภายในวัด ลานวัดสะอาด มีร่มไม้ป่าไม้มาก เย็นสบายดี ความรู้สึกบอกว่าเหมือนเราได้เข้ามาสู่แดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน มองเห็นพระสงฆ์สามเณรหลายรูป กำลังทำกิจวัตร ด้วยอาการสำรวมสังวร ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยกัน ทุกรูปทรงผ้าสีแก่นขนุน ดูช่างเข้ากับธรรมชาติเหลือเกิน
    ข้าพเจ้าเดินเข้าสู่ศาลาโรงธรรม ให้สามเณรวางกระเป๋าไว้บนเตียงด้านขวามือ กราบพระประธาน มองดูพระพักตร์พระประธาน คล้ายได้รายงานตัวว่า “กระผมเป็นอาคันตุกะ เพิ่งมาสู่ถิ่นนี้เป็นครั้งแรก ขอแสดงคารวะ พึ่งร่มพุทธธรรม...”
    มีภิกษุรูปหนึ่งเดินเข้ามาในศาลา จึงถามท่านว่า “ท่านอาจารย์อยู่ไหม” ได้รับตอบว่า “ท่านเพิ่งกลับจากกิจนิมนต์ข้างนอก นิมนต์ไปพบท่านที่กุฏิ”
    ข้าพเจ้าจึงออกจากศาลา เดินชมต้นไม้ ป่าไม้ไปเรื่อยๆ มองเห็นไก่ป่า ๕-๖ ตัว กำลังคุ้ยเขี่ยกินอาหาร พอมันเห็นข้าพเจ้าเดินผ่านไป ทุกตัวเตรียมพร้อมที่จะบินหนี มันคงคิดว่า “ท่านผู้นี้ไม่ใช่เจ้าถิ่น ดูสีผ้าต่างจากที่เคยเห็น ไว้ใจไม่ได้ อาจจะมีอันตราย”
    ข้าพเจ้ามองดูมันพลางเดินพลาง พร้อมกับนึกในใจว่า “หากินไปเถิดเจ้าไก่ป่าเอ๋ย ถึงสีผ้าของข้าจะต่างจากที่เจ้าเคยเห็นก็จริง แต่ข้ามาอย่างมิตร ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่พวกเจ้าหรอก” เพราะเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นไก่ป่า มันมีอยู่เป็นจำนวนมากเสียด้วย มันพากันอยู่กับธรรมชาติ อยู่อย่างอิสระไม่มีพันธะใดๆ อาศัยยอดไม้เป็นเรือนนอน
    เมื่อข้าพเจ้าไปถึงใต้ถุนกุฏิหลวงพ่อ เห็นท่านนั่งอยู่ จึงเข้าไปกราบท่าน ท่านจึงถามว่า “เอ...ใคร...มาจากไหน” ท่านคงจำไม่ได้ เพราะเคยพบท่านครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงเรียนให้ท่านทราบ
    “อ้อ...ท่านมหารึ มาธุระอะไรล่ะ” ท่านถาม
    “กระผมตั้งใจมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ขอรับ” ข้าพเจ้ากราบเรียนท่าน
    “มาอยู่กับผมก็ได้...แต่อย่ามีลับลมคมใน” ท่านพูดช้าๆ ฟังเย็นๆ พอได้ฟังคำพูดของท่าน ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้ง มีความรู้สึกหวั่นในใจ เพราะรู้ตัวดีว่า เอาของผิดวินัยเข้ามา แต่ก็ข่มใจ เรียนท่านไปว่า “ขอรับ...ถ้ากระผมทำอะไร บกพร่อง ผิดพลาด นิมนต์ขนาบได้เต็มที่”
    “เอาอะไรมาบ้างล่ะ” ท่านถาม
    “ไม่ได้เอาบาตรมารึ...” หลวงพ่อถามพร้อมกับมองหน้า
    “อ้าว...ทำไมล่ะ เป็นมหา สอนไปสอนมา ทิ้งบาตรแล้วหรือ...”
    “กระผมยังไม่ทราบกฎระเบียบของทางนี้ ขอรับ” ข้าพเจ้าตอบ
    หลวงพ่อท่านพ่อต่อไปว่า “บาตรเป็นบริขารชิ้นแรก ที่พระอุปัชฌาย์แนะนำให้รู้จักและมอบให้ สำหรับใช้ใส่บริขารแทนกระเป๋าในคราวเดินทาง (เดินธุดงค์) ใช้เป็นภาชนะใส่อาหารเวลาฉัน ใช้เป็นภาชนะตักน้ำใช้ในคราวออกธุดงค์”
    ข้าพเจ้าสงบใจฟังท่านพูด แต่ก็นึกค้านในใจว่า “ที่ท่านพูดก็ถูกของท่าน สำหรับพระกรรมฐานเท่านั้นหรอก แต่สำหรับพระนักเรียนใครจะไปเอา มักเกะกะเก้งก้าง ไม่สะดวก ไม่ทันสมัย...แต่เอ...นี่เรากลายเป็นคนลืมบริขารชิ้นแรก ที่พระอุปัชฌาย์มอบให้เสียแล้ว จึงถูกท่านติงเอา”
    “เคยฉันในบาตรไหม...”
    “ไม่เคย ขอรับ”
    “เคยฉันหนเดียวไหม”
    “ไม่เคย ขอรับ”
    “ที่นี้ เมื่อเรียนมามาก สอนมามากแล้ว ลองมาทำตามพระพุทธเจ้าดูก่อนนะ” หลวงพ่อพูดต่อ “เราเคยเรียนธรรมะในกระดาษ รู้ธรรมะตามกระดาษ สอบความรู้ในกระดาษ และท่านก็รับรองความรู้ด้วยกระดาษ ซึ่งเราเคยผ่านมาแล้ว เมื่อเรามาปฏิบัติ ก็จะทราบได้เองว่า ธรรมะที่เกิดจากสัญญา (เรียน จำได้) กับธรรมะที่เกิดจากการภาวนา มันต่างกันมากอยู่ มันมีความหยาบละเอียดต่างกัน...”
    มันเหมือนกับคนหนึ่งมีรูปม้าหลายๆแผ่น อีกคนหนึ่งมีม้าตัวเดียว ถึงคราวออกเดินทาง คนที่มีม้าตัวเดียวยังดีกว่าคนมารูปม้าหลายแผ่น เพราะอันหนึ่งมันใช้ได้ อันหนึ่งใช้ไม่ได้ เรื่องนี้ผู้มาประพฤติปฏิบัติย่อมรู้ได้เอง ไม่ใช่เรื่องบอกกัน”
    ข้าพเจ้าตั้งใจฟังหลวงพ่อท่านให้โอวาท ด้วยความซาบซึ้ง มันเป็นคำพูดที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน ประกอบกับเสียงของท่านฟังชัดถ้อยชัดคำ ช้าๆ นุ่มนวล เยือกเย็น หลั่งออกมาจากใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา
    หลวงพ่อจึงหันไปสั่งสามเณร ให้ไปเอากระเป๋าที่ศาลามาให้ ขณะที่หลวงพ่อปรารภเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกไม่นาน สามเณรก็หิ้วกระเป๋าเดินเข้ามาถึงชานกุฎิ และแล้วสิ่งที่ไม่นึกคิดก็ปรากฏขึ้น ข้าพเจ้ามองไปดูที่กระเป๋าเห็นซิปแตกออกหมด ใจหายวาบ...น่าแปลกใจ น่าอัศจรรย์ใจอะไรเช่นนี้...ซิปกระเป๋าเรารูดเปิด ล็อคกุญแจเรียบร้อย ก่อนจะหิ้วผ่านเข้ามาในเขตวัด มันแตกออกได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่กุญแจก็ยังล็อคอยู่ หรือว่าซิปแตกตั้งแต่หลวงพ่อพูดว่า “อย่ามีลับลมคมใน” เป็นไปได้หรือนี่ แต่ว่ามันเป็นไปแล้ว เอ...นี่เราคงโดนท่านลองดีเข้าแล้ว
    ข้าพเจ้าเริ่มหัวใจสั่น...เริ่มมีความเคารพเลื่อมใสหลวงพ่อมากขึ้น นึกละอายใจ ไม่กล้ามองหน้าท่านเพราะเข้าใจว่า ท่านคงทราบแล้วว่าเราของผิดวินัยเข้ามา
    ท่านทิ้งช่วงแห่งคำพูดไว้ชั่วระยะหนึ่ง ดูเหมือนหลวงพ่อจะทราบว่า ภายในจิตใจของข้าพเจ้ากำลังวุ่นวายสับสนสะดุ้งหวั่นไหว
    แล้วท่านก็พูดต่อ “การเป็นอยู่ที่นี่ เราอยู่กับธรรมชาติ อยู่อย่างสบาย ไม่มีอะไรหรอก เมื่อมาอยู่ด้วยกัน ก็อย่าแบกพัดแบกยศ แบกคัมภีร์มา เอาทิ้งไว้นอกวัดเสียก่อนโน่น เพราะถ้าบ่ามันหนักอยู่แล้ว จะรับของใหม่ไม่ได้อีก จะดูอะไรต้องดูให้นานๆ นะ ดูเพียงเดี๋ยวเดียวก็จะไม่เห็น
    เมื่อท่านให้ข้อคิดพอสมควรแล้ว ท่านจึงสั่งให้ไปพักที่กุฎิสร้างใหม่ อยู่ทางทิศตะวัน นับจากกุฏิของท่านไปเป็นหลังที่สาม เมื่อขึ้นไปบนกุฏิแล้ว ข้าพเจ้ารีบเปลื้องจีวรออก ก้มลงตรวจดูซิปล้วงเอากุญแจในย่ามมาไข รูดซิปไปมา ก็เข้ามาที่ดีเหมือนเดิม มันน่าแปลกใจอะไรเช่นนี้ มากราบหลวงพ่อยังไม่ถึงชั่วโมง ก็โดนท่านปรามเสียแล้ว
    ท่านผู้อ่านอาจจะค้านว่า ซิปเก่าชำรุดมันจึงเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ยังใหม่แน่ เพราะเพิ่งซื้อมายังไม่ถึงเดือน เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่วัดหนองป่าพง ก็เริ่มได้รับความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากการฉันวันละสองมื้อมาเป็นวันละมื้อ เพราะก่อนมาอยู่เคยคิดไว้ว่า เราคงไม่ไหวแน่เพราะร่างกายเราอ่อนแอ
    หลวงพ่อท่านได้เมตตาข้าพเจ้าเป็นพิเศษอยู่หลายอย่าง เช่น บาตรเก่าของท่าน ท่านใช้มาเป็นเวลาสิบปี เพิ่งเปลี่ยนใหม่ เมื่อปี ๒๕๑๐ ท่านเก็บไว้ในตู้ พอข้าพเจ้าไปอยู่ ท่านก็สั่งให้เอามาให้ข้าพเจ้าใช้ บาตรลูกนี้มีอายุเกือบเท่าอายุของข้าพเจ้า และท่านสั่งให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ติดตามท่านเวลาออกบิณฑบาตเป็นประจำ ซึ่งผู้เป็นอาคันตุกะน้อยรูปนักที่จะได้รับอนุญาตเช่นนั้น
    ตอนเย็นหลังจากทำวัตรเสร็จแล้ว ศิษย์ ผู้ใคร่ต่อการฟังโอวาท ก็ทยอยกันไปหาท่านที่กุฏิซึ่งหลวงพ่อนั่งรออยู่เกือบจะกล่าวได้ว่าแทบทุกวัน พวกเราจึงได้ฟังธรรมนอกธรรมาสน์กันเป็นส่วนมาก รู้สึกว่าเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรม ขจัดความสงสัยทีเกิดขึ้นได้ โดยที่เราไม่ต้องเรียนถาม ท่านพูดๆไป ก็ไปตรงกับเรื่องของเราเอง
    เวลาออกบิณฑบาตเดินตามหลังท่านไป ก็ได้ฟังธรรมะไปด้วย ล้วนแต่เป็นคติเป็นแนวทางส่งเสริมการปฏิบัติธรรมได้ดี จะเรียกว่าฟังธรรมเคลื่อนที่ก็เห็นจะถูก เมื่ออยู่กับท่านหลายวันเข้าความพอใจ ชอบใจ ในการรับฟังและในข้อวัตรปฏิบัติก็มีมากขึ้น เรื่องบางเรื่องที่เราเคยเรียนมาไม่เข้าใจ กลับได้รับความเข้าใจ แม้แต่พระวินัยบางข้อที่เคยสงสัย ก็ได้รับความเข้าใจดีขึ้น

    วันต่อไปผมจะเพิ่มตอนที่ 2 ครับ

  2. #2
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ jobloi
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    กระทู้
    182

    Re: หนึ่งเดือนในป่าพง

    Re: หนึ่งเดือนในป่าพง
    ******หลวงพ่อชา หลวงพ่ออมร หลวงพ่อสุเมโธ *********
    ตกหลุมพราง
    พอเจอคำว่า ตกหลุมพราง บางท่านอาจจะตกใจไปว่า “เอ๊...ที่วัดป่าพงมีการขุดหลุมพรางคอยดักคนเข้าไปชมด้วยหรือ เปล่าหรอก...ที่ว่าหลุมพรางน่ะ มิได้หมายความว่า เป็นหลุมพรางทางภาคพื้นดิน แต่มันเป็นหลุมพรางทางอากาศ (ทางคำพูด) ต่างหาก ติดตามไปคงเข้าใจได้เอง
    เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าติดตามหลวงพ่อเข้าไปบิณฑบาต พอไปถึงทางเลี้ยวซ้าย หลวงพ่อเดินชะลอเหมือนคอนจังหวะให้ข้าพเจ้าไปถึง พอเดินไปทัน ท่านเหลียวไปดูบ้านหลังหนึ่งซึ่งชำรุดเก่าคร่ำคร่าเป็นบ้านช่างไม้รับจ้างปลูกเรือน ข้าพเจ้ามองตามท่าน ทันใดนั้นก็ได้ยินท่านพูดว่า “เอ...บ้านช่างไม้นี่เก่าชำรุดเสียจริงนะ” ข้าพเจ้าจึงคล้อยตามเสริมขึ้นว่า “เป็นช่างไม้มีฝีมือมีคนมาจ้างบ่อย คงจะยังไม่มีเวลาทำของตนเอง”
    หลวงพ่อหันมามองข้าพเจ้าพร้อมกับพูดว่า “เราก็เหมือนกันนั่นแหละ มัวแต่สอนเขา”
    เอาเข้าไหมล่ะ เราเผลอไป จึงตกหลุมพรางของท่านเข้า...ข้าพเจ้าได้ยินท่านพูดถึงกับสะอึกรู้สึกกินใจถึงใจ แทบจะวางบาตรนั่งลงกราบรับรองว่าจริงตามที่ท่านพูด เพราะคาดไม่ถึงไม่นึกว่าจะโดนท่านสอนธรรมะแบบเคลื่อนที่อย่างนี้ แต่ก็ดีแล้วทำให้ได้ข้อคิดจากที่ท่านเตือนสติ ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ เดินตามหลังท่านไป ใจก็หวนระลึกถึงเรื่องๆหนึ่งซึ่งมีอยู่ในหนังสือธรรมบทว่า
    มีภิกษุ ๒ รูป เป็นเพื่อนกัน ออกบวชพร้อมกัน ตั้งใจบวชถวายชีวิตในพระศาสนา ได้อยู่ศึกษาข้อวัตรต่างๆ อันนักบวชจะพึงรู้พึงทำให้ถูกต้องตามแบบสมณะที่ดีพึงทำ อยู่จำพรรษาในสำนักอุปัชฌาย์ อาจารย์ จนมีพรรษากาลพอควรที่จะปกครองตนเองได้แล้ว
    รูปหนึ่งคิดว่า ตนมีอายุเข้าเขตวัยกลางคนแล้ว ยากที่จะศึกษาปริยัติธรรมให้จบสมบูรณ์แบบได้ จึงได้ศึกษาแนวทางแห่งการปฏิบัติจนเป็นที่เข้าใจแล้ว กราบทูลลาพระพุทธองค์มุ่งสู่ป่าเพื่อปฏิบัติธรรม
    อีกรูปหนึ่ง คิดว่าตนพอมีกำลังจะศึกษาปริยัติธรรมได้จึงตั้งใจศึกษา จดจำพระสูตรต่างๆ จนจบพระไตรปิฎก เที่ยวบอกธรรมสอนธรรมในที่ต่างๆ จนมีลูกศิษย์นับเป็นจำนวนร้อยๆ เมื่อมีคนรู้จักมาก ลาภสักการะต่างๆ เกิดขึ้นเป็นผลพลอยได้ติดตามมามากขึ้นๆ ท่านพอใจ อิ่มใจ และภาคภูมิใจในความมีลาภสักการะและลูกศิษย์ลูกหามากเช่นนั้น เมื่อนึกถึงกิตติศัพท์และเสียงเยินยอที่ตนได้รับ ก็ทำให้ท่านสบายใจ เป็นการเพียงพอแล้ว สำหรับสิ่งที่ตนได้รับ เมื่อได้เข้ามาบวชในพระศาสนา
    ส่วนภิกษุที่เข้าไปอยู่ในป่า ตั้งใจบำเพ็ญภาวนา เดินจงกรมนั่งสมาธิ พิจารณาธรรมะให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง ทนได้ยาก มิได้อยู่ในอำนาจของตน มีแล้วหาไม่ เกิดแล้วดับไป บางโอกาสก็สาธยายอาการ ๓๒ พิจารณาตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา ตั้งแต่ปลายผมลงไปจรดปลายเท้า แยกแยะออกเป็นส่วนๆ ตั้งแต่ขน ผม เล็บ ฟัง ไปจนถึงเยื่อมันสมองในกะโหลกศีรษะ ให้เห็นเป็นของปฏิกูลพึงรังเกียจ ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น ซึ่งมีอยู่ในกายตนและกายของคนอื่น เมื่อมันยังเคลื่อนไหวไปมาได้ก็ยังพอน่าดูน่าชม แต่พอสิ้นลมเมื่อไรก็เป็นของไม่น่าปรารถนา ถึงแม้จะมีการรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่ ก็มีการเกิดดับอยู่เป็นประจำไม่จีรังยั่งยืน
    วันคืนผ่านไป ท่านบำเพ็ญเพียรด้วยความบากบั่นไปเรื่อยๆ โดยอาศัยขันติธรรมเป็นที่ตั้ง ยึดเอาหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเส้นทางเดิน จนความยึดมั่นถือมั่นจางคลายหายไปหมดสิ้น จิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะอย่างสิ้นเชิง จนท่านเปลี่ยนภาวะจากปุถุชนเป็นพระอริยบุคคล ในชั้นอรหันต์ขีณาสพไปแล้ว
    จึงนับว่าพระอรหันต์สาวกของพระพุทธองค์ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอีก ๑ รูป ท่านอยู่ในลักษณะสำรวม กาย วาจา ใจ พักผ่อนอิริยาบถ ดื่มรสแห่งวิมุตติสุขอยู่ในราวป่าเป็นเวลาพอสมควรแก่สันติสุขที่เกิดขึ้นนั้นๆ
    ได้มีภิกษุจำนวนหลายรูป และหลายครั้ง ได้ทูลลาพระพุทธองค์มุ่งหน้าสู่ป่า อันเป็นสำนักของพระขีนาสพเถระ เข้าฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ประพฤติปฏิบัติธรรมะ ตั้งอยู่ในโอวาท ไม่ประมาท มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อถอย ถือเอาข้อวัตรปฏิบัติที่พระอาจารย์ดำเนินมาเป็นแนวทาง เดินตามบาทแห่งพระอรหันต์ ไม่นานวันท่านเหล่านั้นก็ได้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจจธรรม กลายเป็นพระอรหันต์ไปหมดทุกรูป
    เมื่อพระสาวกเหล่านั้น ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ดังที่ตนตั้งปณิธาน จึงกราบพระเถระผู้เฒ่าซึ่งเป็นอาจารย์คืนสู่เชตวัน
    พระเถระได้แนะนำวิธีการเข้ากราบบังคมทูลพระศาสดาและการเข้านมัสการพระเถระผู้ใหญ่ในเชตะวัน พร้อมทั้งฝากนมัสการไปยังพระเถระสหายด้วย
    เหล่าพระอริยสาวก เมื่อเดินทางถึงวัดเชตวัน ก็ได้ปฏิบัติตามที่พระอาจารย์แนะนำไว้ ถวายบังคมพระพุทธองค์แล้ว ก็ไปกราบนมัสการพระเถระผู้ใหญ่ จึงไปนมัสการพระเถระผู้สหายของพระอาจารย์
    นับเป็นเวลาหลายครั้งที่พระเถระเจ้าถิ่น ผู้หยิ่งในเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นพหูสูต ลำพองใจใจความมีลาภสักการะ สรรเสริญ สุข อยู่ในท่ามกลางสานุศิษย์ นับจำนวนร้อยๆ จิตใจของท่านนับวันแต่จะพองขึ้น ด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิมานะที่พอกเอาไว้ประดุจดังลูกโป่งที่ถูกอัดด้วยลม
    พอมีพระภิกษุที่มาจากป่า มากราบนมัสการและเรียนท่านว่า “พระอาจารย์ของพวกผมขอฝากนมัสการใต้เท้า ขอรับ”
    “ใครกันนะ...ที่เป็นอาจารย์ของพวกคุณ” พระเถระถามด้วยท่าทางผึ่งผาย
    “พระอาจารย์ที่เป็นสหายคู่นาคของใต้เท้า...ขอรับ” พระสาวกเหล่านั้นตอบ
    “ก็อะไรเล่า...ที่พวกคุณได้เรียนจากภิกษุรูปนั้น ธรรมะบทหนึ่ง หมวดหนึ่ง หรือว่าปิฎกไหนบ้าง ในพระไตรปิฎก” พระเถระถามเป็นเชิงข่มด้วยภูมิปริยัติ และท่านได้คิดเลยเถิดไปอีกว่า “เพื่อนของเรา บวชพร้อมกัน อยู่ด้วยกันไม่กี่ปีก็หนีเข้าป่า ไม่ได้ศึกษาปริยัติรรมเหมือนเรา เห็นจะไม่รู้แม้แต่พระคาถาบทหนึ่งของธรรม ก็ยังอุตส่าห์มีลูกศิษย์หลายรูป เอาเถอะ...มาเยี่ยมเมื่อไร ก็จะไล่ให้จนเสียที...”
    ความเข้าใจของท่านผู้คงแก่เรียนในสมัยพุทธกาล ก็ยังมีถึงเพียงนี้ ไฉนเล่า ในสมัยปัจจุบันจะไม่พึงเกิดมีขึ้นอีก นี่หรือ...คือความมืดในแสงสว่าง ท่านผู้รู้โปรดพิจารณา หาความเป็นจริงกันเถิด
    ครั้นต่อมา ท่านพระเถระผู้ขีณาสพ จึงออกจากป่าเพื่อไปเฝ้าพระพุทธองค์ พอมาถึงวัดเชตวัน เก็บบาตรและบริขารอื่นไว้ ในสำนักของพระเถระผู้สหาย ไปถวายบังคมพระศาสดาและนมัสการพระเถระผู้ใหญ่ที่อยู่ในเชตะวัน เสร็จแล้วจึงกลับมายังที่อยู่ของพระเถระเจ้าถิ่น หลังจากได้ทำปฏิสันถารด้วยอาคันตุกะวัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    พระเถระเจ้าถิ่น จึงนั่ง ณ อาสนะเสมอกันข้างๆ พระเถระที่มาจากป่า ขณะนั้นจึงคิดว่า “ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ถามปัญหาธรรมะ เพื่อเป็นการวัดภูมิดูให้รู้แน่ว่า ใครจะเด่นดังกว่าใครอยู่ในท่ามกลางสานุศิษย์ทั้งสองฝ่ายในวันนี้”
    พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระหฤทัยว่า “ภิกษุรูปนี้จะก้าวร้าวลูกของเรา ผู้ซึ่งมีคุณธรรมสูง เธอจะตกนรกเสียเปล่า” ด้วยทรงมีพระเมตตาต่อพระเถระ พระองค์จึงทรงทำเป็นดำเนินผ่านมา จนถึงที่สังฆสันนิบาตแห่งนั้น ทรงประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว ยังมิทันที่พระเถระจะถามปัญหา พระองค์ก็ตรัสถามเสียเอง
    ครั้งแรกที่ทรงถามปัญหาธรรม ในขั้นปฐมฌานกับพระเถระเจ้าถิ่น เมื่อท่านทูลตอบไม่ได้จึงทรงตรัสถามในขั้นรูปสมาบัติ อรูปสมาบัติ เป็นลำดับขึ้นไป พระเถระก็ทูลตอบไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว
    พระพุทธองค์จึงทรงผินพระพักตร์ไปถามพระเถระผู้ขีณาสพที่มาจากป่า พระเถระก็ทูลตอบได้หมด จนเป็นที่พอพระทัย
    ทีนั้นพระองค์จึงทรงตรัสถามในขั้นโสดาปัตติมรรค พระเจ้าถิ่นทูลตอบไม่ได้ ถามพระเถระผู้ขีณาสพ ทูลตอบได้
    พระพุทธองค์จึงทรงประทานสาธุการว่า สาธุ...
    พระองค์จึงทรงตรัสถาม ในเรื่องมรรคผลสูงขึ้นเป็นลำดับ
    พระเถระเจ้าถิ่น ก็จนปัญญามิสามารถทูลตอบได้
    ส่วนพระเถระผู้ขีณาสพ ทูลตอบได้ทุกข้อ
    พระองค์ทรงพอพระทัย จึงทรงประทานสาธุการอีก ๓ ครั้งว่า สาธุ...สาธุ...สาธุ...
    บรรดาเหล่าเทพยดาฟ้าดินจนถึงพรหมโลก รวมทั้งนาค ครุฑ คนธรรพ์ ได้ฟังพระสุรเสียงสาธุการของพระพุทธองค์ ต่างก็ชื่นชมยินดี ได้เปล่งสาธุการดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งจักรวาล
    บรรดาลูกศิษย์ของพระเถระเจ้าถิ่น พอได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น แทนที่จะอนุโมทนาสาธุการด้วย แต่กลับเข้าใจผิดด้วยอกุศลจิต จึงพากันซุบซิบนินทาว่า
    “อะไรกันนี่ พระพุทธองค์ทรงทำอย่างไรกัน แค่พระหลวงตาแก่อยู่ในป่า เพิ่งกลับมาไม่ได้ศึกษาปริยัติธรรมอะไรเพียงตอบปัญหาได้ ๔-๕ ข้อ ก็ประทานสาธุการเสียยกใหญ่ ส่วนอาจารย์ของพวกเราได้ศึกษาปริยัติธรรมมามาก จนจบพระไตรปิฎก เที่ยวสอนธรรม สวดธรรมมานาน จนมีลูกศิษย์ลูกหานับเป็นร้อยๆ คำน้อยหนึ่งที่พระองค์จะทรงสรรเสริญก็ไม่มี”
    พระองค์ทรงทราบวาระจิตอันเป็นอกุศลของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงตรัสเตือนด้วยพระเมตตา “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาจารย์ของพวกเธอนั้น เปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโครักษาโคเพื่อผู้อื่น เพียงเพื่อค่าจ้างประจำวัน ส่วน(มะมะปุตโต) ลูกของพ่อ (ทรงหมายถึงพระเถระผู้ขีณาสพ) เป็นเช่นเดียวกับเจ้าของโค ย่อมมีสิทธิในตัวโค และได้ดื่มน้ำนมโคตามใจชอบ”
    พระองค์ทรงตรัสเพิ่มเติมอีก พอสรุปได้ว่า “ผู้ใดได้เรียนพระพุทธพจน์ที่มีประโยชน์ไว้มาก แล้วนำพระพุทธพจน์นั้นไปสั่งสอนผู้อื่น แม้จะได้ลาภ สักการะและเสียงเยินยอมากก็ตาม เมื่อเขายังประมาทอยู่ไม่ประพฤติตามพุทธพจน์นั้น ผู้นั้นย่อมไม่ได้รับสันติสุขที่แท้จริง
    ส่วนผู้ใด ถึงจะไม่ได้เรียนพุทธพจน์มาก ไม่ได้สอนมาก แต่หากประพฤติปฏิบัติตามพุทธพจน์นั้นจนได้รู้แจ้งชัด ละสนิมในใจคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว หมดความยึดถือในโลกไหนๆ ผู้นั้นย่อมได้รับสันติสุขที่แท้จริง”
    จากพระดำรัสที่ตรัสสอนมานี้ พระพุทธองค์มุ่งส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชน ได้เรียนรู้ธรรมแล้วนำไปปฏิบัติจนเกิดผลขึ้นมา มิใช่เรียนรู้ไว้เพียงเพื่ออวดอ้าง หรือประดับบารมีตนเท่านั้น เพราะคุณธรรมจะไม่ปรากฏผลเท่าที่ควร เปรียบเหมือนคนเตรียมเดินทาง ได้ศึกษาเส้นทางจากแผนที่แล้ว ก็ต้องออกเดินทางโดยอาศัยแผนที่นั้นเป็นหลัก มิใช่ว่าเรียนรู้แล้วนอนกอดแผนที่หรือเอาแผนที่ออกอวดอ้างกันอยู่ไม่ยอมออกเดินทาง ประโยชน์ย่อมมีน้อยเต็มที่
    อนึ่งผู้เขียนแผนที่ภูมิประเทศนั้น ไม่มีใครสามารถเขียนบอกละเอียดถึงเส้นทางว่าเท่านั้นวา เท่านั้นเส้น มีสิ่งนั้นๆ อยู่ จะบอกได้แต่จุดสำคัญ ๆ พอเป็นแนวทาง ผู้ออกเดินทางเท่านั้นย่อมรู้เห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ข้างทางได้ละเอียดดี และจดจำได้ติดตา เพราะประสบพบเห็นมาด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง) ดีกว่าดูในแผนที่หลายร้อยเท่านัก การรู้ธรรมดาตามหนังสือกับการรู้ธรรมด้วยการภาวนา ย่อมมีค่าต่างกันเช่นนั้น เพราะเหตุนี้เองพระพุทธองค์จึงทรงตรัสเปรียบเทียบพระเถระ ๒ รูปนั้นไว้ว่า รูปหนึ่งเหมือนลูกจ้างรับเลี้ยงโค อีกรูปหนึ่งเหมือนเจ้าของโค
    เป็นอันว่าคำพูดของหลวงพ่อ เพียงประโยคสั้นๆ ว่า “เราก็เหมือนกันนั่นแหละ มัวแต่สอนเขา” มันเข้าไปสั่นสะเทือนอยู่ในจิต จนต้องคิดทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา บางวันแม้จะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่หรือแม้แต่ทำกิจวัตรอย่างอื่นอยู่ จิตมันก็วิ่งไปรับเอาคำว่า “ลูกจ้าง” กับ “ลูกของพ่อ” มาพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งคิดไปว่า “เราบวชเพื่ออะไร เพื่อพ้นทุกข์ หรือเพื่อเพิ่มทุกข์”
    ความห่วงหน้าห่วงหลังก็เกิดขึ้น มันเกิดสู้รบกันอยู่ในจิตผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เราต้องการพบบ่อน้ำ ก็พบแล้ว เราต้องการพบบ่อเพชรบ่อพลอย ก็พบแล้ว ลงมือตัก ลงมือขุดหรือยัง... อยากได้ของใหม่ แต่ไม่อยากวางของเก่า ห่วงวัดก็ห่วง ห่วงโยมก็ห่วง ถ้าเราจากไปกลัวสำนักเรียนจะร้าง กลัวญาติโยมจะเสียใจ...
    เย็นวันหนึ่ง หลังจากทำกิจวัตรร่วมกับเพื่อนบรรพชิตเสร็จแล้ จึงได้พากันมาที่ใต้ถุนกุฏิหลวงพ่อเช่นเคย ฟังหลวงพ่อพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นคติเตือนใจไปพอสมควรแล้ว ท่านจึงชำเลืองดูข้าพเจ้าและถามขึ้นว่า “ยังมีความกังวลอะไรอยู่หรือ” ข้าพเจ้าคิดว่า ท่านคงทราบความห่วงหน้าห่วงหลังของเราแล้ว สู้บอกท่านไปตามตรงดีกว่า จึงประณมมือเรียนท่านว่า
    “กระผมยังห่วงสำนักเรียน ห่วงญาติโยม กลัวเขาจะเสียใจ...”
    “ญาติโยมน่ะ เขากลัวแต่วัดเขาจะร้าง เขาไม่กลัวเราจะร้างหรอก” หลวงพ่อพูดต่อไปอีก
    “ดูแต่เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองเทวะทหะ เมืองพ่อเมืองแม่ของพระพุทธเจ้า ก็ยังกลายเป็นป่ามิใช่หรือ..”
    ข้าพเจ้าประณมมือรับคำท่านโดยมิได้พูด เพราะความจริงก็เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนจะได้ยินเสียงกระซิบตามสายลมดังว่ามาเตือน
    “คุณเอ๋ย...อย่าห่วงบ้าน ห่วงวัดอยู่นักเลย
    จงห่วงชีวิต คิดแสวงหาสัจจธรรม
    ก่อนที่ชีวิตนี้ จะแตกดับ”
    ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ ข้าพเจ้าได้รับฟังโอวาทที่ซึ้งใจพอใจมาก ได้ยินหลวงพ่อพูดสัพยอกว่า “จะอดทนได้หรือเปล่าหนอ...พอมองเห็นสำรับกับข้าวที่เคยฉันตั้งอยู่ข้างหน้า จะอด (ไม่ฉัน) ได้หรือเปล่า”
    ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายในคำพูดของท่าน จึงประณมมือเรียนตอบไปว่า “ถ้าเป็นอาหารที่เคยผ่านมาแล้วอดทนได้ขอรับ”
    โล่งอกไปที สำหรับความกังวล ที่มันเกิดขึ้นรบกวนเราอยู่บ่อยๆ ข้าพเจ้าตัดสินใจแน่นอนแล้ว เราพร้อมแล้วทุกอย่างที่จะเข้ามาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม แต่จะต้องเข้ามาชนิดที่ตัดบัวให้เหลือใย...
    ธรรมะเกิดที่จิต
    เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ยังใหม่ต่อข้อวัตรปฏิบัติ ใหม่ต่อธรรมชาติ ใหม่ต่อการรับฟังโอวาทแบบพระป่า ย่อมพาให้เกิดมีอะไรที่บกพร่องอยู่บ้าง ถือว่าเป็นของธรรมดาแต่ก็จะพยายาม
    สองอาทิตย์ผ่านไป วันนั้นดูจะเป็นวันเพ็ญเดือนห้า ตามปกติแล้วในวันพระเช่นนั้น พระภิกษุสามเณรรวมทั้งอุบาสกอุบาสิกา พากันถือเนสัชชิก ถวายการนอนแก่พระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชาตลอดทั้งคืน
    คืนนั้นหลวงพ่อขึ้นธรรมมาสน์ ท่านนั่งหลับตาเทศน์ ตั้งแต่เวลาประมาณ ๓ ทุ่มครึ่ง จนกระทั่งถึงตีหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งฟังด้วยความสบายใจ เพราะความเป็นผู้ใหม่ รู้สึกปวดหลัง ปวดเอวและปวดปัสสาวะ จึงต้องกราบพระประธาน เดินออกจากศาลาไปทำธุระเสร็จแล้ว เดินมายืนอยู่ข้างๆศาลา ยืนพิงผนังศาลา ฟังหลวงพ่อเทศน์ไปด้วย วันนั้นหลวงพ่อเทศน์เป็นที่จับใจมาก ตอนนั้นท่านเทศน์ว่า
    “การปฏิบัติธรรมนั้น บางทีโยมแก่ๆ อาจจะสงสัย เกิดความหนักใจ ไม่สบายใจเพราะคิดว่าตนเองท่องจำไม่ได้ สวดไม่ได้ แก่แล้วคำวามจำไม่ดีหลงๆ ลืมๆ อันที่จริงแล้วเมื่อเรายังหายใจอยู่เคลื่อนไหวได้อยู่ ยังรู้จักเผ็ด-เค็ม รู้จักร้อน-หนาวอยู่ ก็ปฏิบัติธรรมได้ มันเป็นธรรมทั้งนั้น ข้อสำคัญทำใจให้มันเกิดตัว “พอ” ขึ้นมา ธรรมะคือความพอดี เช่นจะกินอาหารทำคำข้าวให้มันพอดีเคี้ยวได้สะดวก มันก็เป็นธรรม แต่ถ้าทำคำข้าวให้เล็กเท่าเม็ดพุทรา หรือโตเท่าไข่ไก่นั่นมันไม่พอดี มันก็ไม่เป็นธรรมะ จะตัดเสื้อ-กางเกงก็เหมือนกัน ให้มันพอดีกับคนที่จะใช้ คนโตตัดตัวเล็ก มันก็นุ่งไม่ได้ คนเล็กตัดตัวโตมันก็นุ่งรุ่มร่ามไม่เข้าท่า แม้แต่นุ่งเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมกับเพศวัยของตนมันก็ไม่น่าดู มันผิดธรรมะ เสื้อผ้าที่เรานุ่งมาวัด เมื่อมันไม่ขาดไม่สกปรกก็ใช้ได้ ในเมื่อเรามันจน จะไปหาของราคาแพงๆ เกินฐานะของตนมาใช้มันก็ลำบาก ยิ่งไปเที่ยวลักขโมย ปล้นจี้เอาของเขามาเป็นของเรา ยิ่งสร้างความเดือดร้อนใหญ่ มันเลยไม่เป็นธรรมะ
    การพูดจากก็เหมือนกัน ให้มันพอดีกับเพศกับวัยของตน ระวังคำพูด พูดความจริง พูดสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่หยาบคาย รู้ตัวว่า เรากำลังพูด พูดเรื่องอะไร พูดกับใคร ให้เหมาะแก่ผู้ฟัง ๆแล้วก็สบายใจ ผู้พูดก็สบายใจ
    ส่วนเรื่องใจ เราก็ระวังไม่ให้เกิดความต้องการเกินพอดี เกินฐานะ เกินสิทธิที่เราจะได้รับ เมื่อต้องการก็แสวงหาในทางที่ถูกที่ควร ได้มาก็ไม่ได้ดีใจจนเกินไป ของเสียไปก็ไม่เสียใจจนเกินไป ไม่ปล่อยใจให้หลงระเริงไปตาม รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส จนกระทั่งรู้ว่า อะไรมันเข้ามาในใจ ทำใจให้ขุ่นมัว เศร้าหมอง วุ่นวาย ก็รีบไล่สิ่งเหล่านั้นให้มันออกไปจากใจให้ได้ เท่านี้มันก็ถูกธรรมแล้วได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ใจทางเรานี้สำคัญมาก มันเป็นนายของกาย มันเป็นนายของทุกสิ่งทุกอย่าง จะทำดี พูดดี ก็อยู่ที่ใจ ทำร้าย พูดร้าย ก็อยู่ที่ใจ ฉะนั้นเราจึงต้องฝึกมันด้วยการนั่งสมาธิ ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการพิจารณา”
    ข้าพเจ้ายืนพิงผนังศาลาฟังท่านเทศน์มาแค่นี้ ก็เกิดความคิดว่า “วันนี้หลวงพ่อเทศน์ฟังเข้าใจง่ายดี ยกเอาธรรมะที่ลึกล้ำมาทำให้เราฟังง่าย เข้าใจง่าย เราจำเอาไปเทศน์ให้โยมทางบ้านฟัง เห็นจะดี”
    เวลาผ่านไปยังไม่ถึงนาที ก็ได้ยินหลวงพ่อท่านบรรยายไปว่า “การฟังเทศน์นั้น เรื่องจะจำเอาของผู้อื่นไปพูดให้คนอื่นฟังนั้น อย่างเลย...ธรรมะของเป็นเอง เกิดขึ้นทางจิต ที่จิต พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทางจิต บรรลุธรรมทางจิต ด้วยการฝึกจิต ธรรมะต้องเกิดจากการภาวนาจึงจะมีประโยชน์ ส่วนธรรมะที่จำเขามา อันเกิดจากสัญญามีค่าน้อย...”
    เจอเข้าอีกแล้วไหมล่ะ หลวงพ่อนั่งหลับตาเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ เราก็ยืนพิงผนังฟัง คิดของเราอยู่ข้างนอก แต่ทำไมโดนท่านจี้เข้าให้ คล้ายกับท่านคอยไล่ต้อนจิตของเราอยู่ทุกขณะ ทั้งๆที่ท่านก็ทำของท่านอยู่อย่างหนึ่ง แต่ท่านก็ทราบเรื่องของเราที่คิดอีกเรื่องหนึ่งจนได้ ข้าพเจ้าจึงเกิดความเกรงกลัวท่าน จะนึกคิดอะไร ต้องระวัง...ทั้งเกิดความเคารพในท่านเพิ่มมากขึ้น...
    คิดดูอีกที พลังจิตของหลวงพ่อก็เหมือนกับเรดาร์ คอยเที่ยวสอดส่ายตรวจตราดูจิตของข้าพเจ้าอยู่เสมอ แม้แต่จะคิดอะไรก่อนจำวัตร พอรุ่งเช้าก็โดนท่านพูดต้อนเอา จนต้องหยุดคิดในเรื่องนั้น...แม้ว่าท่านจะมิได้บอกตรงๆ แต่พอท่านพูดไปๆ ก็มาลงเอากับเรื่องที่เราคิดและได้แก้ไขทันท่วงที เพราะพลังจิตอันสูงส่งประกอบด้วยเมตตา ย่อมหลั่งธรรมธาราสู่มวลศิษย์ ซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความกังวลเสมอ บางครั้งท่านเคยพูดสัพยอกว่า...
    “มหา...ม้าพยศนี่ ถ้าเราฝึกได้ มันวิ่งดีน๊ะ”
    ข้าพเจ้าฟังแล้ว ก็ทำตาปริบๆ ไม่ได้พูดอะไร...ซึ่งระยะเวลาประมาณครึ่งเดือน ก็ทำให้ความสงสัยว่า “พระกรรมฐานท่านมีดีอะไร” ได้หายไปจากจิตของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าขอยุติ “หนึ่งเดือนในป่าพง” ไว้เพียงเท่านี้ก่อน โอกาสหน้าคงจะได้บันทึกต่อขอฝากคติธรรมไว้ว่า
    ดู, ฟัง, ดม, ลิ้ม ชิมรส
    ปรากฏ ถูกต้อ ง หมองจิต
    ปล่อยว่าง วางละ อย่าคิด
    หมดพิษ ใจเย็น เห็นธรรม
    สุขสงบ พบเห็น เด่นชัด
    ปฏิบัติ ตามธรรม นำส่ง
    เย็นกาย เย็นใจ มั่นคง
    อาจอง สดชื่น รื่นฤทัย...

  3. #3
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ jobloi
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    กระทู้
    182

    Re: หนึ่งเดือนในป่าพง

    Re: หนึ่งเดือนในป่าพง
    คารวะธรรม
    คืนนั้นที่ข้าพเจ้าได้รับข้อคิดจากหลวงพ่อ ขณะยืนพิงผนังศาลาอยู่ ว่า “การฟังเทศน์นั้น...เรื่องจะจำเอาของคนอื่นไปพูดให้คนอื่นฟังนั้น อย่าเลย...ธรรมะของเป็นเอง เกิดขึ้นทางจิต ที่จิต พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทางจิต...ฯลฯ ธรรมะต้องเกิดจากการภาวนา จึงจะมีประโยชน์ ส่วนธรรมะที่จำเขามาอันเกิดจากสัญญา (ตำรา) มีค่าน้อย...”
    ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกสะดุ้ง คิดว่า เอ...ขนาดเราคิดแค่นี้ ก็ยังโดนหลวงพ่อจี้เข้าแล้ว ขืนยืนฟังอย่างนี้ถือว่าประมาทต่อธรรมะอยู่ เข้าไปข้างในดีกว่า...จึงเดินเข้าสู่ศาลาการเปรียญ กราบพระประธาน นั่ง ณ ที่เดิมฟังเทศน์ท่านต่อไป...
    พูดถึงเรื่องการกราบไหว้ หลวงพ่อเคยสอนไว้ว่า “การกราบไหว้นี้ บางคนเห็นว่าไม่สำคัญอะไร หารู้ไม่ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งในส่วนแสดงคารวะธรรม ด้วยความนอบน้อมถ่อมตน เป็นการสร้างนิสัยมิให้กระด้างกระเดื่อง ไม่เป็นคนขี้เกียจมักง่าย เป็นการฝึกให้มีสติอยู่เป็นประจำ ถือว่าเป็นมงคลประเภทหนึ่งด้วย จะเข้ามาในศาลาก็กราบเสียก่อน จึงทำอย่างอื่น จะออกจากศาลาก็กราบเสียก่อน จะลงจากกุฏิก็กราบ ถ้าหากเผลอไปลืมกราบ จนลงมาจากกุฏิแล้วก็ตาม ต้องบังคับตนให้ขึ้นไปกราบเสียก่อน ทำอย่างนี้ไม่ใช่ทำเล่นนะ นั่นแหละเป็นการปฏิบัติธรรม...ถ้าเรื่องง่ายแค่นี้ยังทำไม่ได้ เรื่องที่ยากกว่านี้จะทำได้อย่างไร ขนาดดุ้นฟืนยังถือไปไม่ได้ ท่อนไม้ที่หนักกว่านี้จะสู้ไหวหรือ? นักปฏิบัติธรรมจะต้องไม่ประมาท...”
    คืนนั้นการฟังเทศน์หลวงพ่อชายามดึก รู้สึกว่าจิตของเราไม่ค่อยยอมรับ แต่กลับเอาคำพูดของท่านที่ว่า “ธรรมะเกิดขึ้นที่จิต...ด้วยการฝึกจิต...” ดังก้องอยู่ในส่วนลึกของจิต ข้าพเจ้าจึงคู้ขาเข้านั่งสมาธิต่อไป แต่มันแปลกแม้แต่เสียงนาฬิกาข้างฝาผนังดังติ๊กๆ ...ก็ยังกำหนดฟังไปคล้ายเป็นเสียงดังว่า ธรรมะเกิดที่จิต ด้วยการฝึกจิต...
    หลวงพ่อเทศน์อยู่จนกระทั่งตี ๓ เศษๆ จึงลงจากธรรมาสน์ได้เวลา ๐๓.๐๐ น.เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วป่า ฟังแล้ววิเวกวังเวง สลับกับเสียงไก่ขันเป็นระยะๆ สัตว์ปีกแข็งบางชนิดกรีดร้องเสียงแหลม รู้สึกวิเวกหวิว...เสียงเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วก็ลดจางเลือนหายไปในความมืด...ความมืดจะกลืนกินหมดทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ตัวมันเอง แสงริบหรี่แห่งเปลวเทียนหน้าพระประธาน พอจะส่องแสงให้มองเห็นภิกษุ สามเณร และอุบาสกอุบาสิกา ภายในศาลาอย่างเลือนราง ทุกๆท่านต่างมุ่งมั่นบำเพ็ญภาวนาด้วยความสำรวมระมัดระวัง ดังหนึ่งสิ่งไร้ชีวิตประดิษฐ์อยู่ฉะนั้น...
    ในราตรีนั้น บรรดาเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมทั้งหลาย จะมีใครบ้างเกิดความรู้สึกนึกคิดโดนหลวงพ่อขูด-ถาก-เหลาเอา อย่างข้าพเจ้าบ้างก็สุดจะหยั่งทราบได้ แต่เท่าที่สังเกตก็เห็นว่าทุกๆท่านแสดงความพึงพอใจ โยมผู้อยู่ในวัยสูงอายุ ไม่เห็นใครแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ยังกระปรี้กระเปร่าดี เห็นจะเป็นเพราะได้ดื่มรสพระสัทธรรม เป็นผลให้เกิดความสงบสุขตามฐานะภาวะของตน ดังภาษิตอีสานที่ว่า “คนหมดบ้านกินน้ำส่างเดียว เทียวทางเดียวบ่เหยียบฮอยกัน” หมายความว่า คนทั้งหมู่บ้านมาดื่มมาใช้น้ำเดียวกันแต่ต่างคนต่างอิ่ม เดินทางเส้นเดียวกันแต่ต่างคนต่างก้าวเดินไม่ทับรอยเท้ากัน ทุกคนย่อมมุ่งสู่จุดหมาย ใครจะถึงไวถึงช้าก็แล้วแต่กำลังตน
    เมื่อข้าพเจ้ามีโอกาสอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อนานวันเข้า ยิ่งทำให้เกิดความประทับใจ เพิ่มความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ได้เห็นจริยาวัตรอันงาม วาจาที่นุ่มนวลชวนฟังที่หลั่งอออกมาด้วยพลังแห่งเมตตา สรรหาเอาธรรมะที่ก่อเกิดประโยชน์สุขมาสอนให้ซาบซึ้งถึงใจ เปรียบเหมือนสายธารอันกว้างใหญ่ พร้อมที่จะยื่นความสดชื่นชุ่มฉ่ำแก่อาคันตุกะผู้มาสู่ได้ทุกเวลา พาให้เขาเหล่านั้นได้รับประโยชน์อันคุ้มค่า ที่อุตส่าห์เดินทางมานมัสการ ข้าพเจ้ารำพึงว่าเหมาะสมแล้ว ที่หลวงพ่อเตือนตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่มากราบท่านว่า “จะดูอะไรต้องดูให้นานๆ นะมหา หากดูเพียงประเดี๋ยวเดียวแล้วจะไม่เห็น”
    ทำไมหรือ? หลวงพ่อจึงเตือนอย่างนั้น เห็นจะเป็นเพราะว่าก่อนที่เราจะมาหาท่านเป็นเวลาหลายเดือนและหลายปี เรามักจะมีความสงสัยอยู่เสมอว่า “หลวงพ่อชาท่านมีอะไรดี? ความรู้ก็เพียงนักธรรมเอก (บ้านนอก) เท่านั้น แต่ทำไมเล่าจึงมีคนไปหาท่านจำนวนมากทั้งชาววัดและชาวบ้าน และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ...”
    คงจะเป็นเพราะหลวงพ่อชาทราบความสงสัยอันเกิดในจิตของเรามานานแล้วนี่เอง ที่ข้าพเจ้าหาคำตอบไม่ได้มีแต่สงสัยร่ำไปจะไม่ให้สงสัยอย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้าภูมิใจหลงใหลในรูปม้ามานาน ทั้งยังตั้งสถานที่แจกรูปม้ามานานเป็นเวลาตั้ง ๑๒ ปี แต่ก็นึกดีใจอยู่บ้าง ที่เราได้เดินผ่านบันไดขั้นต้นๆ มาแล้ว เป็นผลผลักดันให้ใช้ความพยายามก้าวต่อไป...แต่จะก้าวไปได้มากเพียงใดแค่ไหนนั้น ก็ขอจงปล่อยให้เป็นเรื่องเฉพาะตนเถิด...

  4. #4
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ jobloi
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    กระทู้
    182

    Re: หนึ่งเดือนในป่าพง

    Re: หนึ่งเดือนในป่าพง
    หลวงตาสอนมวย
    ในระยะเดือนแรก ที่ข้าพเจ้ามาพักอยู่ที่วัดหนองป่าพง ชนิดแบบกรรมฐานชิมลอง กำลังอยู่ในระหว่างตัดสินใจว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังนั่นเอง เช้าวันหนึ่ง จวนจะถึงเวลาออกบิณฑบาตตามปกติ หลวงพ่อจะอนุญาตให้ติดตามท่านไปทุกวัน วันนั้นมีหลวงตารูปหนึ่ง นามว่าหลวงตามา แต่หลวงพ่อชอบเรียกว่า (หลวงตาลาด) พ่อลาด เพราะพื้นเพแกอยู่บ้านกุดลาด พระเณรส่วนมากจึงจำชื่อได้ว่า “พ่อลาด” และเรียกอย่างนั้นเรื่อยมา
    ตามที่หลวงพ่อเคยพูดให้ฟัง หลวงตารูปนี้มีประวัติที่น่าศึกษามากทีเดียว แกเป็นชาวนาที่ขยันหมั่นเพียรในการงาน สร้างชีวิตสร้างครอบครัวให้มีฐานะดี มีเงินทองมากพอสมควรคนหนึ่งในหมู่บ้าน ต่อมาภรรยาแกเริ่มป่วย แกก็ยังพูดด้วยความเชื่อมั่นว่าให้มันป่วยลง เงินกูมีพอที่จะรักษา มีหมอดีๆ ที่ไหน กูจะไปเชิญมารักษาให้หายให้จงได้...
    แต่แล้วใดๆในโลกล้วนอนิจจัง หลวงพ่อเคยพูดว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามความคิด แต่มันจะเป็นไปตามทางที่มันจะเป็น...” ภรรยาพ่อลาดป่วยมานาน มองดูอาการนับวันแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้นไม่มีวันจะหายได้ ทั้งเงินทองที่มีอยู่เอามาใช้จ่ายพยาบาลรักษา ก็นับวันจะลดน้อยถอยลง ภรรยาก็ถึงแก่กรรมจากไปเสียแล้ว
    พ่อลาดรู้สึกว่า ได้รับความกระทบกระเทือนในอย่างหนัก โศกเศร้าเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ มีความทุกข์ทรมานมาก เมื่อนึกถึงอดีตที่เคยก่อร่างสร้างตัวมากับภรรยา ยิ่งทำให้มีความทุกข์ยิ่งขึ้น พ่อลาดปรารภกับตัวเองว่า...ไม่น่าเลย ทำไมด่วนจากไปเร็วนัก...แต่หารู้ไม่ว่ากฎธรรมชาติธรรมดาได้สอนธรรมะที่แท้ให้แล้ว...แต่เขายังไม่รู้เรื่องเท่านั้น แกจึงปรารภกับตนเอง...เมื่อก่อนนี้เราเข้าใจว่าเมียเรา เงินทองของเรา เรือกสวนไร่นาของเรา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันห้ามตายไม่ได้...ไม่รู้จะทำไปทำไมอีก อายุเราก็ปูนนี้แล้ว ถ้ามัวแต่โศกเศร้าเสียใจอยู่อย่างนี้ เห็นว่าชีวิตของเราจะสั้นแน่ๆ เพราะความทุกข์ทรมานมันเล่นงานเราแทบจะทนไม่ไหว...เราควรหาทางแก้ไข...
    ต่อมาได้ทราบข่าวหลวงพ่อชา ผู้เป็นพระฝ่ายปฏิบัติอยู่ที่วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ ท่านมีคุณธรรมสูง คงจะเป็นที่พึ่งในยามทุกข์ทรมานอย่างนี้ได้ แกจึงมุ่งหน้าสู่วัดหนองป่าพง และได้เข้ากราบนมัสการ ได้รับความอบอุ่นทางใจ โดยท่านให้โอวาทตอนหนึ่งว่า “โลกมันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เราจะมาเถียงมาบังคับให้น้ำมูลมันไหลกลับไปเมืองโคราชจะเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ ให้รับรู้มันเสีย ว่านี้แหละคือ ธรรมดาของมัน มันจะต้องเป็นอย่างนี้ จงภาวนาให้ดีๆ อย่าหลงอย่าเผลอไปเที่ยวยึดเอาของที่ไม่จริงไม่จังว่ามันจริงมันจัง มันก็ทุกข์เท่านั้นแหละ...”
    เมื่อพ่อลาดได้รับฟังโอวาทจากหลวงพ่อพอสมควร รู้สึกว่าถูกใจ ถึงใจ มีกำลังใจขึ้นมา สามารถบรรเทาความทุกข์เศร้าลงได้บ้างแล้ว จึงขออยู่รับใช้ปฏิบัติธรรมจำศีลกับหลวงพ่อ ครั้นต่อมาได้บวชเป็นพระได้อยู่จำพรรษาที่วัดหนองป่าพง ๒ พรรษา ขณะที่ข้าพเจ้าบันทึกนี้พ่อลาดยังมีชีวิตอยู่ที่วัดหนองป่าพงอายุ ๘๐ ปี พรรษา ๒๐ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นก่อนได้รับอนุญาต
    วันนั้นข้าพเจ้ากับพ่อลาด ครองผ้าเสร็จแล้วจึงพากันตะพายบาตร เดินมายืนคอยหลวงพ่ออยู่ในระหว่างต้นมะม่วงอกร่อง มีลูกดกกำลังน่าดูห้อยระย้าอยู่เกือบเต็มต้น ขณะที่กำลังยืนรอหลวงพ่อ...เพราะความคะนองมือไม่สำรวมระวัง (หรือเรียกว่า เพราะยังโง่ก็ยอมรับ) จึงเอื้อมมือไปลูบคลำมะม่วงเล่น ทันใดนั้นเหลือบไปเห็นพ่อลาดทำหน้าบึ้ง...จ้องมายังข้าพเจ้าพร้อมกับถามว่า “อาจารย์ไปจับมะม่วงทำไม...หือ...จับทำไม?” ข้าพเจ้าจึงหดมือกลับมาด้วยความสงสัย จึงตอบไปอย่าไม่ลดมานะว่า “มันจะเป็นไรไปเล่าพ่อลาด จับแค่นี้...” ความจริงแล้วเจตนาเราอยากจะหยั่งเสียงหาความรู้จากเขา แต่แทนที่พ่อลาดจะตอบโดยดี แกกลับพูดแบบตัดหางยัดปากว่า “ไม่รู้หรือ? อาจารย์เรียนมามากกว่าผมนี่...” ว่าแล้วแกก็ถอยห่างออกไปยืนอยู่...
    ท่านผู้อ่านทั้งหลาย...ท่านคงไม่ทราบหรอกว่า ความรู้สึกภายใจจิตใจของข้าพเจ้าในเวลานั้นเป็นอย่างไร...เพราะข้าพเจ้าถูกสอนมวย (สอนวินัย) ให้อย่างจัง ถูกลบลายที่ตนเองนึกว่าเป็นเสือเหลือไว้แต่ลายแมว...แล้วจะรู้สึกอย่างไร ลูกโป่งที่ข้าพเจ้าอุตส่าห์อัดไว้ด้วยแรงลมแห่งทิฏฐิมานะมานมนาน ถูกหลวงตาเอาเข็มทิ่มเข้าไปเพียงนิดๆ ก็เกิดเป็นพิษทำให้แฟบลง...นึกปลงสังเวชตัวเองแท้ๆ...ไม่น่ามาเสียท่าหลวงตา...ความจริงแล้วพ่อลาดพึ่งบวชได้เพียง ๒ พรรษา เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา ได้ถูกอบรมมาโดยตลอด จึงสามารถไขลมลูกโป่งของมหาเปรียญ ๖ ประโยค มีพรรษา ๑๗ ได้อย่างสบาย...คิดอีกทีก็น่าสงสารมากอยู่หรอก...
    บางทีท่านผู้อ่านอาจจะนึกสงสัยว่าสถานที่หลวงตาสอนมวยให้มหาอยู่ตรงไหน? ก็ขอบอกไว้ที่นี่เสียเลย ที่ตรงนั้นต่อมาปี ๒๕๑๘ โยมแม่ชีพิมพ์ซึ่งเป็นมารดาของหลวงพ่อหลังจากถึงแก่กรรมแล้ว หลวงพ่อได้ปรับปรุงเป็นเมรุพิเศษทำพิธีประชุมเพลิงศพโยมแม่ของท่าน และต่อมาก็ให้ถมเป็นเนินดินสูงๆ แล้วท่านก็ให้สร้างเป็นโบสถ์วัดหนองป่าพงปัจจุบันนั่นเอง
    ข้าพเจ้าเพียงแต่นึกถึงโบสถ์ หรือได้มาเห็นโบสถ์เมื่อใด จิตของข้าพเจ้าก็ประหวัดไปถึงเรื่องเก่ารำพึงในใจว่า พ่อลาด นะพ่อลาด...สอนมวยให้ผมได้...ขอขอบคุณอาจารย์(พ่อลาด) ไว้ตรงนี้อีกครั้งเถอะ ตอนหลังๆ เมื่อพบพ่อลาด พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ทีไร พ่อลาดถึงกับยกมือเหนือเศียร “ผมขอโทษเถอะขอรับ ขออย่าให้เป็นบาปเป็นกรรมแก่ผมเลย...” พ่อลาดพูดด้วยความเคารพนอบน้อม ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ไม่หรอก...ผมไม่ได้พูดด้วยเจตนาพยาบาท แต่พูดในลักษณะขอขอบคุณที่พ่อลาดสามารถแคะไค้สนิมใจ ไขลมลูกโป่งของผมได้ ทำให้เบาสบายขึ้นตั้งเยอะ ที่ตรงนั้นต่อมา กลายเป็นที่สำคัญเสียด้วยสิ...”
    คิดอีกทีก็ดีหน่อยตรงที่เหตุการณ์เกิดขึ้นวันนั้น ไม่มีใครทราบเรื่อง มีคู่กรณี ๒ รูปเท่านั้น ถ้าหากมีอยู่ด้วยกันได้ยินไปหลายรูป ก็ไม่แน่นักว่าข่าวพ่อลาดไขลมพิษของมหาจะไม่กระจายไปทั่ววัด เพราะอาจจะมีลูกศิษย์หลวงพ่อนึกเขม่นข้าพเจ้าอยู่บ้าง เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะว่ากิริยามารยาทตลอดทั้งคำพูดจาของข้าพเจ้านั้น ยังมีสภาพเป็นพระนักเรียนนักสอนอยู่ ยังไม่เข้ามารยาทของผู้ปฏิบัติธรรม เรื่องนี้พูดไปแล้วถ้าหากใครยังไม่เคยเข้ามาสัมผัสนานๆ อาจจะยังไม่เข้าใจเพราะเป็นปัจจัตตังชนิดหนึ่ง อีกอย่างดูผ้าที่ใช้ก็สีเหลืองต่างจากเพื่อนบรรพชิตในวัดทั้งหมด ดูแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาเยี่ยม ไก่ป่ามันยังระแวงสงสัยทำท่าหลอกแหลก คิดอีกทีก็เหมือนมีกาตัวหนึ่ง หลงพลัดเข้ามาอยู่กับฝูงหงส์ฉะนั้น
    เมื่อหลวงตาไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร เราก็เกิดมานะขึ้นมาว่า เราก็ศิษย์มีครู อยากรู้เราต้องพยายามช่วยตัวเองดีกว่า ทำให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ว่า “เราอาจอาศัยอาหารเพื่อละอาหาร อาศัยตัณหาเพื่อละตัณหา อาศัยมานะเพื่อละมานะได้ แต่เมถุนให้ชักสะพานเสีย (อาศัยเพื่อละไม่ได้)...” ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าคิดถึงเช้าวันนั้นเมื่อใด เหมือนมีใครมากระซิบบอกข้างๆ หูว่า
    เจ็บแล้วจำ ทำผิด แล้วรีบแก้
    ตรองให้แน่ คิดให้ถูก รีบปลูกฝัง
    สร้างความดี พูนทวี มีพลัง
    ชีพเรายัง ต้องขวนขวาย ช่วยตนเอง...
    หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว หลวงพ่อจะมีระเบียบให้ภิกษุรูปหนึ่งขึ้นธรรมาสน์ อ่านหนังสือบุพพสิกขาวรรณนาวินัยกถา ให้พวกเราฟัง เพื่อจะได้จดจำนำไปทำตาม เป็นตอนๆไป ถ้ารูปใดสงสัยก็สอบถามหรือบางคืนหลวงพ่อจะอบรมเรื่องวินัยที่จำเป็นแก่การปฏิบัติธรรม หนังสือเล่มนี้(บุพพสิกขาวรรณนาวินัยกถา) ปรากฏว่าสมัยเป็นนักเรียน เป็นครูสอนปริยัติอยู่ ไม่เคยได้เรียนหรือได้อ่านผ่านสายตาเลย และเป็นตำราที่เมื่อคราวหลวงพ่อชาออกปฏิบัติครั้งแรก ได้พบพระอาจารย์ ๒ รูป ที่เป็นชาวเขมร ได้แนะนำไว้ว่า “ท่านอาจารย์ชา ตำราเกี่ยวกับระเบียบวินัยที่ควรศึกษา พอเหมาะแก่ผู้ปฏิบัติธรรมเป็นแนวทาง ควรยึดถือหนังสือเล่มนี้เป็นหลัก ทางฝ่ายกัมพูชา พระเณรและเด็กวัด ก็ศึกษาหนังสือเล่มนี้...”
    หลวงพ่อได้ศึกษาระเบียบวินัยจากหนังสือเล่มนี้ และได้รับความรู้ความฉลาดพอสมควรแก่การปฏิบัติ เมื่อไปกราบฟังธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็ยังซาบซึ้งในปฏิปทาที่น่าเลื่อมใส ที่อยู่ในเส้นทางแห่งธรรมวินัยของท่าน เป็นเครื่องยืนยันในการปฏิบัติที่พอเหมาะพอดี เมื่อหลวงพ่อได้มาอยู่วัดหนองป่าพง ก็ได้ให้พระเณรศึกษาวินัยจากหนังสือเล่มนี้ แม้แต่สาขาวัดหนองป่าพงทุกสาขาก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ถ้าหากพระภิกษุสามเณร ผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมท่านใด ยังสงสัยการรักษาระเบียบวินัยที่หลวงพ่อชาทำมาแล้ว และแนะนำลูกศิษย์ให้ทำตามนั้น ก็โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ข้าพเจ้าขอฝากข้อคิดไว้ว่า ท่านผู้หวังความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ตลอดทั้งชาวบ้านผู้ใคร่รู้หลักการอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรที่ถูกที่ควรแล้ว ก็เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะหามาอ่าน เพื่อรู้แนวทางเอาไว้เป็นการดีที่สุด

  5. #5
    มิสบ้านมหา 2008 - 2009 สัญลักษณ์ของ หมูหวาน
    วันที่สมัคร
    Sep 2007
    กระทู้
    1,353
    บล็อก
    5

    Re: หนึ่งเดือนในป่าพง

    ขอบคุณ ธรรมะดีๆๆจ้า จะพยายามอ่านให้จบจ้า :g:g
    ขำบางโอกาส ฉลาดเป็นบางเวลา บ้าเป็นพักๆ แต่น่ารักตลอดกาล (^_^)

  6. #6
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวหนองคาย
    วันที่สมัคร
    Jun 2008
    กระทู้
    364

    Re: หนึ่งเดือนในป่าพง

    ถ้าทุกคนมีธรรมะในใจบ้านเมืองเฮาคือสิบ่วุ่นวายจั่งซี้เน๊าะคับพี่น้อง

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •