สัมผัสธรรมชาติสอนให้เด็กอ่อนโยน




การเปิดโอกาสให้เด็กๆเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับธรรมชาติเพื่อให้
เกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และรักษ์ธรรมชาติเป็น
สิ่งที่สำคัญมาก เหมือนกับได้ปลูกฝังจิตสำนึกที่ดี เพราะเมื่อได้ใกล้ชิด
ธรรมชาติตั้งแต่เด็ก เขาจะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับตระหนักในการอนุรักษ์ธรรมชาติ


พญ.ชดาพิมพ์ เผ่าสวัสดิ์ นักจิตเวชศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น
สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การนำเด็กไปสัมผัสกับธรรมชาติ
จะทำให้พัฒนาการด้านต่างๆของเด็กถูกกระตุ้นและตื่นตัวขึ้น
โดยกล่าวว่า การแนะนำให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉพาะธรรมชาติ
ภายใต้ท้องทะเลหรือโลกใต้น้ำที่มีความสวยงามและความสงบ
จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างการเรียนรู้และจินตนาการให้กับเด็กๆ
ในวัยนี้เด็กๆ มักจะมีจินตนาการโลกใต้ทะเลที่แตกต่างกันไปตามประสบการณ์
การที่เด็กได้เห็นสัตว์ใต้ทะเลที่ยากต่อการพบเห็นโดยทั่วๆไป
ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ใต้ทะเลลึกจริงๆ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุด
ที่จะทำให้เด็กได้ต่อเติมจินตนาการของตนเอง และได้เปรียบเทียบโลกแห่ง
จินตนาการกับความเป็นจริง ลองเปรียบเทียบประสบการณ์โลกใต้ทะเล
ที่ได้เห็นจากในหนังสือหรือโทรทัศน์ ความรู้สึกจะเทียบกันไม่ได้เลย
กับการเห็นทุกอย่างเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าด้วยตาของพวกเขาเอง


“ธรรมชาติทุกอย่างมีความสำคัญ เพราะมีส่วนช่วยให้จิตใจมนุษย์อ่อนโยนมากขึ้น
วิธีที่ดีที่สุดที่จะปลูกฝังให้เด็กๆรักธรรมชาติคือการพาเด็กๆไปสัมผัสธรรมชาติ
ด้วยตัวเอง และการได้รับรู้ถึงความงดงามของธรรมชาติด้วยตัวของเขาเอ
งจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกรักและหวงแหนขึ้นมาในใจโดยไม่ต้องบังคับ
นอกจากนี้การที่ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างที่ดีในการรักษาธรรมชาติให้เด็กได้
ซึมซับก็ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญมากเช่นกัน


พญ.ชดาพิมพ์อธิบายว่า เด็กในวัย 6-12 ปี จะเป็นวัยที่เริ่มเรียนรู้ได้มาก
โดยเฉพาะเรื่องความคิดที่เป็นนามธรรม เป็นวัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลง
ทางความคิด พฤติกรรม และพัฒนาการทางด้านสังคม รวมถึงเป็นวัยที่เด็ก
ใช้พลังงานในทางสร้างสรรค์อย่างมาก ทั้งการเรียน การเล่น
มีการพัฒนาด้านคุณธรรม รู้จักรับผิดชอบ รู้ผิดรู้ถูก เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ซึ่งเป็นลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งในวัยนี้ ถ้าได้รับการปลูกฝังสิ่งที่ดีจากแบบอย่างที่ดี
ได้รับความรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้
จะทำให้การพัฒนาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ที่มีคุณภาพได้ต่อไปในอนาคต


พญ.ชดาพิมพ์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เด็กในวัยนี้จะเป็นวัยที่มีความคิดและ
มีความรู้สึกที่ไวต่อการวิพากษ์วิจารณ์ มีความลึกซึ้งกับสิ่งที่เขาได้สัมผัสจากรอบๆตัว
ดังนั้น ในวัยนี้พ่อแม่จึงมีความสำคัญที่จะให้คำแนะนำ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับพ่อแม่
ที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้เขา และที่สำคัญต้องมีท่าทีที่ดีพร้อมในการรับฟัง
ถึงแม้ว่าสิ่งที่พูด คนที่เป็นพ่อแม่ฟังแล้วมองว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
แต่ให้ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นจินตนาการของเขา จึงไม่ควรไปขัดขวางการ
จินตนาการของเขา


“ยกตัวอย่างเด็กบางคน พ่อแม่รู้ว่าหัวไม่ดี เรียนหนังสือไม่เก่ง แต่เด็กบอกว่าอยากเป็น
นักบินอวกาศ พ่อแม่ก็ควรฟังและให้กำลังใจ เพราะเด็กต้องการการยอมรับ
จากพ่อแม่ของเขา และต้องการคำชม แต่การชมก็ไม่ควรกล่าวชมในลักษณะ
ที่ติดปากว่า “ดีมากลูก” หรือ “เก่งมากลูก” แต่ควรกล่าวชมอย่างมีเหตุผล
พร้อมกับอธิบายต่อไปว่าถ้าทำได้ดีแบบนี้เขาจะเป็นอย่างไร จะมีประโยชน์
อะไรเกิดขึ้นมาบ้าง”


สำหรับเด็กในยุคนี้เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมีส่วนสำคัญในทางจิตวิทยาที่
จะทำให้เด็กอยากเล่นกิจกรรมหรือไม่อยาก ส่วนเรื่องการกระตุ้น
ให้เด็กมีความกล้าแสดงออก ได้มีการศึกษาวิจัยออกมาชิ้นหนึ่งระบุว่า
การนำเด็กไปเข้าค่ายจะทำให้เด็กอยากแสดงออก และมีส่วนทำให้เด็ก
ได้รู้ตัวว่ามีความสามารถในเรื่องอะไรตรงไหน